พระสัมมาสัมพุทธเจ้า: ศาสดาของเทวดาและมนุษย์ SB 304 ชีวิตสมณะ หน้า 70
หน้าที่ 70 / 209

สรุปเนื้อหา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “สัตถา เทวมนุสสานัง” ซึ่งแปลว่า “ศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย” พระองค์ทรงประกาศพระศาสนาเพื่อประโยชน์สูงสุดคือนิพพาน การแสดงธรรมของพระองค์มีความกรุณาและปรีชาสามารถอย่างยิ่ง โดยทรงแสดงธรรมที่แตกต่างกันแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เวลาเย็นทรงแสดงธรรม เวลาค่ำประทานโอวาทแก่ภิกษุ และเวลาเที่ยงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงได้รับนามว่า “พุทโธ” หมายถึง “ผู้เบิกบานแล้ว” เนื่องจากพระองค์ได้ตรัสรู้ไญยธรรมที่ควรรู้ ทำให้ท่านเป็น “ผู้อื่น” และยังสั่งสอนสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากความหลง การที่ท่านได้รับการเปรียบเทียบกับดอกบัวนั้น ทำให้เห็นความพยายามและการบรรลุผลแห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์จึงเป็นศาสดาที่นำผู้คนไปสู่การรู้ รู้จักปฏิบัติตามและพ้นจากทุกข์ในที่สุด

หัวข้อประเด็น

-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
-ศาสดาของเทวดาและมนุษย์
-พุทโธ: ผู้เบิกบาน
-การแสดงธรรม
-นิพพานและการตรัสรู้

ข้อความต้นฉบับในหน้า

5.4.7 ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “สัตถา เทวมนุสสานัง” แปลว่า “ศาสดาของเทวดาและ มนุษย์ทั้งหลาย” เหตุที่ทรงพระนามว่า “สัตถา” คือ “ศาสดา” ก็เนื่องจากพระองค์ทรงประกาศพระศาสนา และพระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงแต่ละครั้งๆ แม้จะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป แต่มีจุดมุ่งหมายเป็น แนวเดียวกัน คือ มุ่งประโยชน์ในภพนี้ ภพหน้า และประโยชน์สูงสุด คือ นิพพาน การแสดงธรรมของพระองค์นั้น นอกจากทรงมีพระมหากรุณาอย่างยิ่งใหญ่แล้ว ยังทรงพระ ปรีชาสามารถเป็นเลิศ พระองค์จึงทรงสั่งสอนอบรมเหล่าสัตว์โลก ได้อย่างกว้างขวาง ดังปรากฏในพุทธกิจ ประจำวันว่า เวลาเย็นทรงแสดงธรรม เวลาค่ำประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ เวลาเที่ยงคืนทรงตอบปัญหา เทวดา ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงพระนามว่า “ทรงเป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย” 5.4.8 ทรงเป็นผู้เบิกบานแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “พุทโธ” แปลว่า “ผู้เบิกบานแล้ว” บางแห่งแปลว่า “ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว” ที่แปลว่า “ผู้อื่น” นั้น มีความเป็น 2 นัย คือ นัยที่ 1 พระองค์ตรัสรู้ไญยธรรม หรือธรรมอันควรรู้หมดสิ้นทุกประการ พระองค์จึงทรงเป็น “ผู้อื่น” คือ ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติผิดๆ ทั้งหลาย ที่ยึดถือปฏิบัติกัน มานานแสนนาน อีกทั้งยังทรงปลุกผู้อื่น ให้พ้นจากความหลงงมงายกับคำสอนผิดๆ ซึ่งถ่ายทอดต่อๆ กันมาด้วย นัยที่ 2 พระองค์ตรัสรู้อริยสัจ 4 ด้วยพระญาณอันยิ่งของพระองค์เอง พระองค์จึงทรงเป็น “ผู้อื่น” คือ ทรงตื่นจากความไม่รู้ แล้วทรงสั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลายให้รู้และปฏิบัติตาม จนกระทั่งบรรลุ อรหัตตผล เข้านิพพานตามพระองค์ไปมากมาย ส่วนที่แปลว่า “ผู้เบิกบาน” ก็เพราะนำไปเปรียบกับดอกบัว กล่าวคือ การที่พระองค์ทรงประกอบ ความเพียรด้วยประการต่างๆ มานานถึง 6 พรรษา ขณะที่ยังมิได้ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ย่อมเปรียบได้กับดอกบัวที่ยังตูมอยู่ ครั้นเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จึง เปรียบได้กับดอกบัวที่บานแล้วยามต้องแสงอาทิตย์อุทัย พระหฤทัยของพระองค์ย่อมผ่องแผ้ว เบิกบานเต็มที่ ความหมายทั้ง 2 นัย ดังกล่าวแล้วนี้ คือ คำแปลของ “พุทโธ” ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงพระนามว่า “ทรงเป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว” บ า ที่ 5 ส ามั ญ ญ ผ ล เ บื้ อ ง ต้ น ลเบื้อ DOU 59
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More