ข้อความต้นฉบับในหน้า
“ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
นุ่มนวล ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อ
อาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย (เหตุแห่งทุกข์)
นี้ทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์) นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ทางดับทุกข์) ย่อมรู้
ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ (กิเลสเครื่องหมักดองใจ) นี้อาสวสมุทัย (เหตุ
แห่งกิเลสนั้น) นี้อาสวนิโรธ (ความดับกิเลสนั้น) นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา (ทาง
ดับกิเลสนั้น) เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ (อาสวะ
คือกาม) แม้จากภวาสวะ (อาสวะคือภพ) แม้จากอวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา)
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็มีญาณรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
มหาบพิตร เปรียบเหมือนสระน้ำบนยอดเขา ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มี
จักษุยืนอยู่บนขอบสระ จะพึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบบ้าง ก้อนกรวดและ
ก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น เขาจะ
จึงคิดอย่างนี้ว่า สระน้ำนี้ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบบ้าง
ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้างเหล่านี้ กำลังว่ายอยู่บ้าง กำลังหยุด
อยู่บ้าง ในสระน้ำนั้นดังนี้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์
ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส นุ่มนวล ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว
อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อ “อาสวักขยญาณ” ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง
มหาบพิตร นี้แหละสามัญญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่า
สามัญญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ มหาบพิตร ก็สามัญญผลที่เห็นประจักษ์
ข้ออื่นๆ ที่ดียิ่งกว่า หรือประณีตกว่าสามัญญผลที่เห็นประจักษ์ข้อนี้ ย่อมไม่มี”
ญาณอันหยั่งรู้อริยสัจ 4 ชัดเจนแจ่มแจ้งตามความเป็นจริง อันทำให้อาสวะกิเลสหมดสิ้นไปจาก
ใจนี้ มีชื่อทางศาสนาว่า “อาสวักขยญาณ”
สามัญญผลเบื้องสูง หรืออานิสงส์แห่งการเจริญภาวนา ซึ่งก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่ลำดับ
ที่ 1 จนถึงลำดับที่ 8 นี้ มีชื่อเรียกว่า “วิชชา 8” โดยเรียงลำดับดังนี้ คือ
1. วิปัสสนาญาณ
2. มโนมยิทธิ
*สามัญญผลสูตร ที. ส. 9/138/110
บ ท ที่ 8 ส า ม ญ ญ ผ ล เ มื อ ง สูง
ลเบื้อ
DOU 127