แรงจูงใจในการบวชในพระพุทธศาสนา SB 304 ชีวิตสมณะ หน้า 80
หน้าที่ 80 / 209

สรุปเนื้อหา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงแรงจูงใจในการบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งมี 3 ประการคือ ศรัทธาในพระธรรม, ความเห็นโทษภัยในชีวิตฆราวาส และความเห็นคุณของชีวิตนักบวช การบวชมุ่งหมายเพื่อการละบาปและการประพฤติพรหมจรรย์อย่างบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าตรัสถึงการใช้ชีวิตแบบฆราวาสที่เกี่ยวข้องกับกาม เช่น กิเลสและวัตถุกาม โดยกามซึ่งส่งผลให้จิตใจขุ่นมัวมี 10 ประเภท อาทิ โลภะ, โทสะ และโมหะ เนื้อหานี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าการบวชเป็นสิ่งที่สูงส่งและมีเป้าหมาย

หัวข้อประเด็น

- แรงจูงใจในการบวช
- ชีวิตฆราวาส
- คุณค่าของการบวช
- กามและกิเลส
- การประพฤติพรหมจรรย์

ข้อความต้นฉบับในหน้า

จากพระธรรมเทศนาที่ยกมานี้ จะเห็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะแสดงให้พระ เจ้าอชาตศัตรูเข้าพระทัยว่า แรงจูงใจที่เป็นเหตุให้บุรุษเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานั้นมี 3 ประการ คือ 1. มีศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2. มีปัญญาตรองเห็นโทษภัยในชีวิตฆราวาสว่า ทั้งคับแคบ และเป็นที่มาของกิเลส 3. มีปัญญาตรองเห็นคุณของชีวิตนักบวชว่า มีโอกาสประพฤติพรหมจรรย์ได้เต็มที่ ด้วยแรงจูงใจเช่นนี้ จึงตัดสินใจเข้ามาบวช ดังนั้นการบวชของพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจึงเป็น การบวชที่มีเป้าหมาย สูงส่งและดีงาม จากแรงจูงใจข้อ 2 และ 3 ย่อมกำหนดเป็นเป้าหมายในการบวชได้ 2 ประการ คือ 1. บวชเพื่อละบาปอกุศลทั้งปวง หรือบวชเพื่อละกามนั่นเอง 2. บวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ อันเป็นการสั่งสมบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป สิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ชีวิตฆราวาสเป็นที่ประชุมแห่งบาปอกุศลก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี” “ฆราวาสคับแคบ” หมายความว่า การใช้ชีวิตแบบฆราวาสนั้น ต้องเกี่ยวข้องพัวพันอยู่ด้วย เรื่องกาม ฆราวาสทั้งหลายจึงตกอยู่ในอำนาจของกาม หรือตกเป็นทาสของกาม “กาม” คืออะไร กามประกอบด้วยองค์ 2 คือ 1. กิเลสกาม 2. วัตถุกาม 1. กิเลสกาม คำว่า “กิเลส” โดยรูปศัพท์ หมายถึง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้ จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ “กาม” หมายถึง ความใคร่ ความอยาก หรือสิ่งที่น่าปรารถนา ดังนั้น “กิเลสกาม” จึงหมายถึง ความชั่วที่แฝงอยู่ในใจแล้วผลักดันให้ทำสิ่งที่ผิด เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ปรารถนา กิเลสกามแบ่งออกเป็น 10 อย่าง คือ 1) โลภะ ได้แก่ ความโลภ อยากได้ของผู้อื่นในทางผิด 2) โทสะ ได้แก่ ความคิดประทุษร้ายผู้อื่น เบียดเบียนรังแกผู้อื่น 3) โมหะ ได้แก่ ความหลง หรือความไม่รู้ตามความเป็นจริง 4) มานะ ได้แก่ ความถือตัว สำคัญว่าตัวดีกว่า เหนือกว่าผู้อื่น 5) ทิฏฐิ ได้แก่ ความเห็นผิดๆ ดื้อดึง เมื่อ “ทิฏฐิ” รวมกับ “มานะ” เป็น “ทิฏฐิมานะ” จึงหมาย ความว่า “ดื้อรั้นอวดดี หรือดื้อดึงถือตัว” บ ท ท 6 คุณ ธ ร ร ม ที่ ทำ ใ ห้ เ ป็ น ผู้ บ ริ สุท DOU 69
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More