ข้อความต้นฉบับในหน้า
บทที่ 8
สามัญญผลเบื้องสูง
พระธรรมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูทรงรู้สึกประทับใจ และศรัทธา
ในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงเคารพเทิดทูนพระพุทธคุณไว้สูงสุด ทั้งประจักษ์แจ้งในพระอัจฉริยภาพ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เลิศล้ำกว่าเจ้าลัทธิอื่นๆ อย่างเทียบเทียมมิได้เลย ในลำดับนั้นเอง พระพุทธ
องค์จึงทรงแสดงสามัญญผลที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น จนถึงขั้นสูงสุด อันได้แก่วิชชา 8 ซึ่งเป็นการบรรลุมรรคผล
นิพพาน
8.1 การบรรลุมรรคผลนิพพาน
การที่บุคคลจะสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้นั้น มีหลักสำคัญอยู่ว่า ต้องอบรมใจให้เป็นสมาธิ
แน่วแน่ให้ได้เสียก่อน โดยการวางใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ซึ่งเป็นที่ตั้งถาวรของใจ เมื่อใจของ
ผู้เจริญภาวนาเป็นสมาธิแน่วแน่ยิ่งขึ้นไม่ชัดสาย สงบนิ่ง มั่นคงอยู่ในอารมณ์เดียวใจก็จะใสบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ
จนปรากฏเป็นดวงกลมสุกสว่าง ผุดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 สภาวะที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ย่อมหมายความว่า
กิเลสเบื้องกลาง หรือที่เรียกว่า นิวรณ์ 5 ได้สงบระงับจากใจไปแล้ว ใจจึงดำดิ่งนิ่งแน่วเข้าสู่ภายในต่อไปอีก
ทำให้ผู้เจริญภาวนาบรรลุฌานทั้ง 4 ระดับไปตามลำดับๆ ดังได้กล่าวแล้วในบทที่ 7
8.2 สามัญญผลลำดับที่ 1
หลังจากบรรลุฌาน 4 แล้ว ถ้าผู้เจริญภาวนายังสามารถประคองใจเป็นสมาธินิ่งแน่วต่อไปอีก ใจ
ย่อมบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ผ่องแผ้ว สุกสว่างยิ่งขึ้น ปราศจากกิเลสและอุปกิเลส จึงตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เป็นใจที่
ละเอียดอ่อน จนสามารถบรรลุญาณระดับต้น หรือที่เรียกว่า “ญาณทัสสนะ” บังเกิดความรู้ขึ้นในจิตใจตนเอง
โดยอัตโนมัติว่า กายของคนเราซึ่งเกิดจากมารดาและบิดานี้ ประกอบด้วยรูปและวิญญาณ รูปคือร่างกาย
อุปกิเลส คือ สิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก มี 16 อย่าง คือ 1. อภิชฌาวิสมโลภะ ละโมบ
จ้องจะเอาไม่เลือก 2. โทสะ คิดประทุษร้าย 3. โกธะ โกรธ 4. อุปนาหะ ผูกโกรธไว้ 5. มักขะ ลบหลู่คุณท่าน 6. ปลาสะ ตีเสมอ
7. อิสสา ริษยา 8. มัจฉริยะ ตระหนี่ 9. มายา เจ้าเล่ห์ 10. สาเถยยะ โอ้อวด 11. ถัมภะ หัวดื้อ 12. สารัมภะ แข่งดี 13. มานะ
ถือตัว 14. อติมานะ ดูหมิ่นท่าน 15. มทะ มัวเมา 16. ปมาทะ เลินเล่อหรือละเลย
118 DOU ชี วิ ต ส ม ณ ะ