ข้อความต้นฉบับในหน้า
การที่ใจหยุดนิ่งแน่วแน่ ไม่มีอารมณ์ใดในอารมณ์ทั้ง 6 เข้าไปเกี่ยวข้องกับดวงจิตเลย ได้ถึงซึ่ง
เอกัคคตา ดวงจิตถึงซึ่งความเป็นหนึ่ง นี้แหละ คือ “สมาธิในทางปฏิบัติ” แท้ๆ จัดว่าเป็นสมาธิเบื้องต่ำ
ในพระพุทธศาสนา
ส่วน “สมาธิเบื้องสูงในทางปฏิบัติ” คือ สมาธิในฌาน เมื่อผู้ปฏิบัติวางใจหยุดนิ่งอยู่กลาง
ดวงจิตที่ใสนั้น พอหยุดได้ถูกส่วน ก็จะเข้าถึงสมาธิเบื้องสูง เกิดเป็น “ดวงฌาน” ขึ้นกลางดวงจิตนั้น มีลักษณะ
กลมรอบตัวเป็นปริมณฑล ใสเป็นกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า มีกายมนุษย์ละเอียด นั่งอยู่กลางดวงฌานที่
ผุดขึ้นมานั้น
ใจของกายมนุษย์ละเอียดก็หยุดนิ่งอยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด เมื่อเห็นดวงจิต
ของตนว่าเป็นสมาธิ จึงเข้าฌาน เมื่อเข้าฌานแล้วจะไปไหนก็คล่องแคล่ว จึงเกิด “วิตก” (คิด) ขึ้นว่า นี่อะไร
รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างนี้ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงตรึกดู (ปักจิตลงสู่อารมณ์ฌาน) ครั้นแล้ว “วิจาร
ก็เกิดขึ้นเต็มวิตก คือพิจารณาตรวจตราดูรอบกายมนุษย์ละเอียด ตรวจตราดูทั่วแล้วก็เกิด “ปีติ” ปลื้มอก
ปลื้มใจ เมื่อเบิกบานสำราญใจเต็มส่วนของปีติแล้ว ก็มีความสุขกายสบายใจ เมื่อสุขกายสบายใจแล้วก็
นิ่งเฉย เกิดแต่วิเวก ใจวิเวกนิ่งอยู่กลางดวงนั้น เต็มส่วนขององค์ฌาน เป็น “เอกัคคตา”
สภาวะที่กายมนุษย์ละเอียด เข้าฌานอยู่กลางดวงฌานนี้คือสมาธิในทางปฏิบัติ เป็นสมาธิเบื้องสูง
ในระดับ “ปฐมฌาน”
ครั้นแล้วกายมนุษย์ละเอียดก็คิดว่า “ปฐมฌาน” นี้ยังใกล้ของหยาบนัก จึงคิดทำให้สูงขึ้นไปอีก
ใจของกายมนุษย์ละเอียดจึงขยายจากปฐมฌานของกายมนุษย์ละเอียด หยุดนิ่งอยู่กลางดวงธรรมที่ทำ
ให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด หยุดนิ่ง ใสนิ่ง หนักเข้าๆ พอถูกส่วน ก็มีดวงผุดขึ้นมาอีกดวงหนึ่งขนาดเท่า
ดวงแรก ดวงนี้คือ “ทุติยฌาน” ปรากฏมีกายทิพย์เกิดขึ้น ด้วยอาศัยกายทิพย์หยาบนี้ กายทิพย์ละเอียด
ซึ่งซ้อนอยู่ในกายทิพย์หยาบก็เข้าฌาน แบบเดียวกับกายมนุษย์ละเอียดในปฐมฌาน คราวนี้ละวิตก วิจาร
ได้แล้ว เหลือแต่ “ปีติ” ชอบอกชอบใจว่ามันดีกว่าเก่า ใสสะอาดกว่าเก่ามาก จึงปลื้มอกปลื้มใจ เมื่อ
ปลื้มอกปลื้มใจเช่นนั้น จนเต็มส่วนของความปีติ ก็เกิด “ความสุข” ขึ้น พอเต็มส่วนของความสุขเข้า ใจก็นิ่ง
เฉยเป็น “เอกัคคตา”
1 ทุกคนในโลกนี้ ไม่ได้มีเพียงกายภายนอกที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อนี้เท่านั้น แต่ยังมีกายภายในที่ละเอียด ประณีต และ
บริบูรณ์ด้วยคุณธรรม ซ้อนอยู่ภายในอีกมาก เรียกว่า “กายภายใน” หรือ “กายในกาย” ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กาย
รูปพรหม กายอรูปพรหม จนถึงธรรมกาย เราไม่อาจมองเห็นกายเหล่านี้ได้ด้วยตาของมนุษย์ธรรมดา แต่จะรู้เห็นได้ด้วยใจที่
หยุดนิ่งเป็นสมาธิ จนมีความละเอียด ประณีตเสมอกันกับกายเหล่านั้น เท่านั้น
กายมนุษย์ละเอียด มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กายฝัน” เพราะขณะที่คนเรานอนหลับแล้วฝันว่า ไปยังที่ต่างๆ นั้น
กายมนุษย์ละเอียดนี้เองเป็นผู้ไป
112 DOU ชี วิ ต ส ม ณ ะ