ข้อความต้นฉบับในหน้า
ความผิดเป็นวัฒนธรรมในพระพุทธศาสนา จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราชาวพุทธทั้งหลายจะต้อง
ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติด้วย ทั้งนี้เพราะ
1) เป็นการแสดงว่าผู้สารภาพรู้ตัวว่าผิดจริง การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเปล่งวาจาสารภาพ
ความผิดของตนออกมา ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า เขาได้ตระหนักแล้วว่าความผิดที่เขาก่อขึ้นนั้น
เป็นความผิดอย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะเมื่อทำแล้ว นอกจากจะสร้างความ
เดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นแล้ว ยังก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานใจตนเองสุดจะพรรณนา ดังในกรณีพระเจ้าอชาตศัตรู
ซึ่งถึงกับไม่สามารถบรรทมได้เป็นแรมปี
นับแต่วันที่ปลงพระชนม์ชีพพระราชบิดา
2) เป็นการปฏิญาณตนว่าจะไม่ทำผิดอีก การเปล่งวาจาสารภาพผิดนั้น นอกจากจะเป็นการ
แสดงความกล้าหาญและความจริงใจ ยอมรับอย่างเปิดเผยว่า ผู้สารภาพรู้สึกตระหนักในความผิดของ
ตนเองอย่างแท้จริงแล้ว ยังเป็นการปฏิญาณตนว่า จะไม่ทำผิดเช่นนั้นซ้ำอีก หากไม่สารภาพผิดออกมา
ก็อาจจะทำผิดซ้ำอีกได้ นอกจากนี้การสารภาพผิดยังสามารถกระตุ้นเตือนใจให้คนเราพยายามสำรวมระวัง
มิให้เข้าไปพัวพันกับอกุศลกรรมอื่นๆ ทั้งหลายอีกด้วย นับเป็นการสร้างเกราะคุ้มกันตัว ให้พ้นจากการ
ก่อบาปได้ประการหนึ่ง
มีข้อควรสังเกตว่า การสารภาพผิดที่มีประสิทธิภาพนั้น ผู้สารภาพต้องเปล่งวาจาออกมาต่อหน้า
บุคคล หากใช้วิธีสารภาพผิดแบบอื่น เช่น สารภาพผิดในใจต่อหน้าพระพุทธรูป หรือสารภาพผิดด้วยการเขียน
หนังสือถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็อาจจะไม่ได้ผลจริง ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากจะให้การสารภาพผิดมีประสิทธิภาพ
อย่างสมบูรณ์ จะต้องกระทำโดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์เป็นประธาน มิฉะนั้นแล้ว ผู้ที่เคย
สารภาพผิด อาจหวนกลับไปทำความผิดอย่างเดิมหรือร้ายแรงยิ่งกว่าเดิมอีกก็ได้ ทั้งนี้เพราะ
(1) ใจคนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามธรรมดา ใจมนุษย์ปุถุชนนั้น ถูกครอบงำอยู่ด้วย
กิเลสเสมอ ความรู้สึกนึกคิดจึงไม่มั่นคง เปลี่ยนแปลงกลับกลอกอยู่ตลอดเวลา ในข้อนี้ทุกคนย่อมรู้อยู่
แก่ใจ จึงมีสำนวนพูดกันว่า “เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย” หรือ “พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย” เป็นต้น ดังนั้นถึงแม้
บุคคลจะได้เคยกล่าวคำสารภาพผิดกับบุคคลต่างๆ แม้แต่กับมารดาบิดา หรือพระภิกษุสงฆ์ที่ตนเคารพนับถือ
อย่างยิ่งก็ตาม ครั้นเมื่อเวลาล่วงเลยไป หรือเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกนึกคิดของ
คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้นคำสารภาพที่บุคคลเคยกล่าวไว้แล้ว ก็อาจจะถูกหลงลืม หรือถูกลบเลือน
ไปจากใจได้ด้วยเช่นกัน
(2) การสารภาพผิดที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์เป็นประธานนั้น เป็นการสร้างความ
เชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในตนเองได้สูงสุด กล่าวคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้แจ้ง
เห็นจริงในสัจธรรมทั้งปวง ไม่มีบุคคลหรือแม้อริยบุคคลระดับอื่นเสมอเหมือน ครั้นเมื่อพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลายรับฟังคำสารภาพผิดของผู้ใดแล้ว ผู้นั้นย่อมจะเกิดขวัญและกำลังใจอย่าง
ใหญ่หลวง ในการที่จะปรับปรุงแก้ไขตนเอง ให้หันมากระทำความดีอย่างเอาจริงเอาจังต่อไป เมื่อบุคคล
156 DOU ชี วิ ต ส ม ณ ะ