ข้อความต้นฉบับในหน้า
มหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงจากบ้านตนไปบ้านอื่น แล้วจากบ้าน แม้
นั้นไปยังบ้านอื่นอีก จากบ้านนั้นกลับมาสู่บ้านของตนตามเดิม เขาจะพึงระลึก
ได้อย่างนี้ว่า เราได้จากบ้านของเราไปบ้านโน้น ในบ้านนั้น เราได้ยืนอย่างนั้น
ได้นั่งอย่างนั้นได้พูดอย่างนั้นได้นิ่งอย่างนั้น เราได้จากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านโน้น
แม้ในบ้านนั้น เราก็ได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น
แล้วเรากลับจากบ้านนั้น มาสู่บ้านของตนตามเดิม ดังนี้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล
เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส นุ่มนวล
ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อ “ปุพเพ
นิวาสานุสสติญาณ” เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก (ดังกล่าวแล้ว)
มหาบพิตร นี้แหละสามัญญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่า
สามัญญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ”
ญาณที่ทำให้ระลึกชาติแต่หนหลังได้นี้ มีศัพท์ทางศาสนาโดยเฉพาะว่า “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ”
อนึ่ง ประวัติความเป็นมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ครั้งก่อนที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ และขณะ
ที่เป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญทศบารมีอยู่ในช่วงเวลาที่เสวยพระชาติต่างๆ อันยาวนาน ที่พระองค์ตรัสเล่าไว้
ดังมีปรากฏอยู่ในชาดกที่สำคัญ เช่น เวสสันดรชาดกนั้น ล้วนเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงปุพเพนิวาสานุสสติ
ญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น
8.8 สามัญญผลลำดับที่ 7
เมื่อผู้เจริญภาวนาสามารถประคองจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ยิ่งขึ้นต่อไปอีก จิตย่อมบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
ผ่องแผ้ว สุกสว่างยิ่งขึ้นอีก ย่อมปราศจากกิเลสและอุปกิเลส จึงยิ่งทวีประสิทธิภาพในการงานยิ่งขึ้นอีก
ยังผลให้บรรลุญาณซึ่งสามารถทำให้เล็งเห็นการเกิดและการตายของหมู่สัตว์ทั้งหลาย สามารถเล็งเห็น
ความแตกต่างของเหล่าสัตว์โลก อันเป็นไปตามอำนาจกรรม ซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตรัสกับพระเจ้าอชาตศัตรูว่า
“ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
นุ่มนวล ควรแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติ
(การตาย) และอุบัติ (การเกิด) ของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลัง
อุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วย “ทิพย
*สามัญญผลสูตร ที. ส. 9/136/107
บ ท ที่ 8 ส า ม ญ ญ ผ ล เ มื อ ง สูง
ลเบื้อ
DOU 125