ข้อความต้นฉบับในหน้า
เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 ประการเหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิด
ปราโมทย์ เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ เธอมี
กายสงบแล้ว ย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เธอสงัดจากกาม สงัด
จากอกุศลธรรม”
7.2 ละนิวรณ์ได้ ใจย่อมเป็นสมาธิ
จากพระดำรัสที่ยกมานี้ ย่อมเห็นแล้วว่า แม้พระภิกษุที่บริบูรณ์ด้วยศีลทั้งปวง ด้วยอินทรียสังวร
สติสัมปชัญญะและสันโดษอันเป็นอริยะแล้ว ถ้ายังละ “นิวรณ์” ไม่ได้ กายและใจของพระภิกษุรูปนั้น ก็ยัง
ไม่สามารถสงัดจากกามและอกุศลธรรม ถึงจะทุ่มเทเวลาเจริญภาวนาไปนานแสนนาน ก็ไม่สามารถบรรลุ
คุณวิเศษอย่างใด ต่อเมื่อละนิวรณ์ทั้ง 5 ประการได้แล้ว กายและใจจึงสงัดจากกาม หมดความยินดีใน
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และสงัดจากอกุศลธรรม คือ “อภิชฌา” และ “โทมนัส” ซึ่งก็คือ ความยินดี
ยินร้ายที่สามารถบังคับใจให้คิดทำความชั่วต่างๆ ได้ทั้งสิ้น
7.3 นิวรณ์
นิวรณ์ คือ กิเลสที่ปิดกั้นใจไม่ให้บรรลุความดี ไม่ให้ก้าวหน้าในการเจริญภาวนา ทำให้ใจซัดส่าย
ไม่ยอมให้ใจรวมหยุดนิ่งเป็นหนึ่ง หรือเป็นสมาธิ นิวรณ์มี 5 ประการ คือ
7.3.1 กามฉันทะ คือ ความหมกมุ่น ครุ่นคิด เพ่งเล็งถึงความน่ารักน่าใคร่ในกามคุณ อันได้แก่รูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส เนื่องจากใจยังหลงติดในรสของกามคุณทั้ง 5 นั้น จนไม่สามารถสลัดออกได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบกามฉันทะเหมือน “หนี้” คือ ผู้ที่เป็นหนี้เขา แม้จะถูกเจ้าหนี้
ทวงถามด้วยคำหยาบ ก็ไม่อาจโต้ตอบอะไรได้ ต้องสู้ทนนิ่งเฉย เพราะเป็นลูกหนี้เขา แต่ถ้าเมื่อใดชำระหนี้
หมดสิ้นแล้ว มีทรัพย์เหลือเป็นกำไร ย่อมมีความรู้สึกเป็นอิสระและสบายใจ อุปมาข้อนี้ฉันใด ผู้ที่สามารถละ
กามฉันทะในจิตใจได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมมีความปราโมทย์ยินดีอย่างยิ่งฉันนั้น
7.3.2 พยาบาท คือ ความคิดร้าย ความรู้สึกไม่ชอบใจสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ได้แก่ ความอุ่นใจ ความ
ขัดเคืองใจ ความไม่พอใจ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความเกลียด ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้ใจกระสับกระส่าย
ไม่เป็นสมาธิ
*สามัญญผลสูตร ที.ส. 9/125-127/95-98
บ ท
เ ท ที่ 7 ส า ม ญ ญ ผลเบื้ อ ง ก ล า ง
DOU 105