ข้อความต้นฉบับในหน้า
1
จะเห็นได้ว่าอานิสงส์ของการบำเพ็ญสังฆทานจะมีผลมากกว่าปาฏิบุคคลิกทาน แต่อานิสงส์ของ
การรักษาศีล และการเจริญวิปัสสนามีมากกว่านั้นอีก แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าจะมุ่งแต่เจริญวิปัสสนา
เพียงอย่างเดียวโดยไม่ทำทาน เพราะการให้ทานย่อมมีประโยชน์แก่บุคคลทุกจำพวก
การให้ทานนั้นยังช่วยให้ผู้มีศีล และมีปัญญา (เจริญวิปัสสนา) ได้รับอานิสงส์ที่ประณีตไพบูลย์ยิ่ง
ขึ้น ทำให้สร้างบารมีได้สะดวกสบายกว่าการไม่ได้ทำทาน ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบพระราชธิดา
สุมนาผู้มาทูลถามในสุมนสูตร ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าสาวกของพระองค์ 2 คน มีศรัทธา มีศีล มีปัญญาเท่าๆ กัน คนหนึ่ง ทำ
ทานกุศล แต่อีกคนหนึ่งไม่ทำ คนทั้งสองนั้นเมื่อตายไปแล้ว พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ แต่คนทั้งสองนั้น
ทั้งที่เป็นเทวดาเหมือนกัน จึงมีความพิเศษแตกต่างกันหรือไม่”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“ดูก่อนสุมนา คนทั้งสองนั้นจะมีความพิเศษแตกต่างกัน คือหากเกิดเป็นเทวดา ผู้ทำทานกุศลย่อม
ได้รับสิ่งที่เป็นทิพย์อันเลิศกว่าผู้ไม่ทำทานกุศล 5 ประการ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ และอธิปไตย (ความ
เป็นใหญ่)”
พระราชธิดาทูลถามต่อไปว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ถ้าเทวดาทั้งสองจุติจากเทวโลกมาสู่ความเป็นมนุษย์ คนทั้งสองนั้นจะมี
ความพิเศษแตกต่างกันหรือไม่”
“ดูก่อนสุมนา คนทั้งสองนั้นจะมีความพิเศษแตกต่างกัน คือ ผู้ทำทานกุศล หากเกิดเป็นมนุษย์
ย่อมได้รับสิ่งอันเลิศกว่าผู้ไม่ทำทานกุศลด้วยเหตุ 5 ประการ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ และอธิปไตย ที่เป็น
ของมนุษย์”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าคนทั้งสองนั้นออกบวชเป็นบรรพชิต จะมีความพิเศษแตกต่างกันหรือไม่”
พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า
“ดูก่อนสุมนา คนทั้งสองนั้นจะมีความพิเศษแตกต่างกัน คือ คนที่ทำทานกุศล เวลาเป็นบรรพชิต
ย่อมได้รับสิ่งอันเลิศกว่าคนที่ไม่ทำทานกุศลด้วยเหตุ 5 ประการ คือ
(1) เมื่อออกปากขอย่อมได้จีวรมาก เมื่อไม่ออกปากขอย่อมได้น้อย
(2) เมื่อออกปากขอย่อมได้บิณฑบาตมาก เมื่อไม่ออกปากขอย่อมได้น้อย
(3) เมื่อออกปากขอย่อมได้เสนาสนะมาก เมื่อไม่ออกปากขอย่อมได้น้อย
(4) เมื่อออกปากขอย่อมได้บริขาร คือยาที่เป็นเครื่องบำบัดไข้มาก เมื่อไม่ออกปากขอย่อมได้น้อย
สุมนสูตร, อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต, เล่มที่ 36 ข้อ 31 หน้า 60-61.
บทที่ 2 ท า น คื อ อะไร DOU 35