ผลของการทำทานที่แตกต่างกัน SB 101 วิถีชาวพุทธ หน้า 74
หน้าที่ 74 / 226

สรุปเนื้อหา

การทำทานมีผลที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับเจตนาและเวลา ผู้ที่ทำทานด้วยความดีใจจะได้รับผลดีในวัยปฐม ส่วนผู้ที่ให้ทานด้วยความเลื่อมใสจะพบความสุขในวัยมัชฌิม และผู้ที่มีความเบิกบานใจหลังจากการให้ทานจะมีความสุขในวัยปัจฉิม การรักษาเจตนาให้บริสุทธิ์ในทั้ง 3 ระยะจะส่งผลให้ชีวิตสมบูรณ์ แต่อาจมีอุปสรรคหากเจตนาทำทานในบางเวลาไม่บริสุทธิ์ การทำทานอย่างบริสุทธิ์จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างบุญกุศล ในขณะเดียวกันต้องระวังว่า การไม่สร้างเจตนาดีก็จะส่งผลต่อชีวิตในอนาคตเช่นกัน

หัวข้อประเด็น

-การทำทาน
-อานิสงส์ที่แตกต่าง
-เจตนาในการทำบุญ
-ผลกระทบจากการทำทาน
-การรักษาความบริสุทธิ์ในเจตนา

ข้อความต้นฉบับในหน้า

3.5.3 ทำทานต่างกันให้ผลไม่เหมือนกัน การทำทานทุกครั้งย่อมมีอานิสงส์ดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น แต่ผลที่เกิดขึ้นก็ใช่ว่าจะเหมือนกันทุก ครั้งไป เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบข้างหลายประการ ตั้งแต่ความต่างแห่งวัตถุ ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ที่ให้เจตนาที่ให้ทาน กาลเวลาที่ให้ทาน หรือผู้รับทานแตกต่างกัน เป็นต้น ซึ่งจะได้ยกความแตกต่างในการ ทำทานมาดังนี้ ความแตกต่างที่เจตนา 3 กาล ผู้ใดก่อนที่จะให้ทานเกิดความดีใจ (ปุพพเจตนาบริสุทธิ์) อานิสงส์แห่งบุญย่อมส่งผลในภพชาติหน้า ให้ชีวิตในปฐมวัย (ตั้งแต่เกิดถึงอายุ 25 ปี) ของผู้นั้นพบแต่ความสมบูรณ์พูนสุขเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งดีงาม ผู้ใดขณะที่ให้ทาน เกิดความเลื่อมใส (มุญจนเจตนาบริสุทธิ์) อานิสงส์แห่งบุญย่อมส่งผลในภพชาติ หน้า ให้ชีวิตในมัชฌิมวัย (อายุ 26-50 ปี) ของผู้นั้น พบกับความสุข ความสบาย บริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์สมบัติ ผู้ใดหลังจากที่ให้ทานแล้ว เกิดความเบิกบานใจ ไม่เสียดายทรัพย์ (อปราปรเจตนาบริสุทธิ์) อานิสงส์ แห่งบุญย่อมส่งผลในภพชาติหน้า ให้ชีวิตในปัจฉิมวัยของผู้นั้น (อายุ 51 ปี ขึ้นไป) ถึงพร้อมด้วย ความสุข สมหวังในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการ สามารถใช้ทรัพย์ได้อย่างเบิกบานใจ ไม่เป็นเศรษฐีที่มีความ ตระหนี่ถี่เหนียว และเมื่อผู้ใดสามารถรักษาเจตนาให้บริสุทธิ์ครบทั้ง 3 ระยะอย่างนี้ได้ ก็ย่อมได้บุญมาก และมี ความสุขสมบูรณ์ไปจนตลอดชีวิต จะเห็นได้ว่าเจตนามี 3 ระยะ แต่ละระยะจะส่งผลในแต่ละวัย ถ้าเจตนาดีจะส่งผลดี แต่ถ้าเจตนา ระยะใดเสียไป วัยนั้นก็จะเสียไปด้วย เช่น ก่อนจะให้ทาน ผู้ให้รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ครั้นถึงเวลาให้ เห็นพระ ภิกษุจำนวนมากมาย จึงเกิดความเลื่อมใสขึ้น ยินดีในการให้นั้น และหลังจากให้แล้ว นึกถึงบุญที่ไร ก็เกิดความปีติเบิกบานใจทุกครั้งบุญที่ทำนี้จะส่งผลให้เกิดในภพชาติหน้า คือ ในช่วงปฐมวัยจะมีชีวิตที่ลำบาก ต้องต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ต่อเมื่อถึงมัชฌิมวัย จึงจะเริ่มประสบกับความสุข ความสำเร็จ และ ปัจฉิมวัยก็มีความสุขความสบาย สามารถใช้ทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สุข และสร้างบุญกุศลได้อย่างเต็มที่ เป็นต้น อีกนัยหนึ่ง ในภพชาตินี้ ถ้าในช่วงปฐมวัยเรามีความสุขดี มัชฌิมวัยก็เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน แต่ปัจฉิมวัยกลับพบแต่อุปสรรค มีทรัพย์ก็เสียดาย ไม่กล้าทำบุญ ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย แสดงว่าในอดีตนั้น เวลาทำบุญ ปุพพเจตนาและมุญจนเจตนาดี แต่อปราปรเจตนาเสียไป ทำบุญแล้วใจไม่เลื่อมใส เสียดาย ทรัพย์ ดังนี้เป็นต้น ดังที่ได้เคยกล่าวมาแล้วว่า การให้ทานจะมีผลมากนั้น ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาที่บริสุทธิ์ของผู้ให้ 1 เมื่อเทียบเวลา ในขณะที่มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยเท่ากับ 75 ปี บ ท ที่ 3 ก า ร ท า ท า น ที่ ส ม บูรณ์ แ บ บ DOU 63
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More