ข้อความต้นฉบับในหน้า
5. จักไม่กล่าวคำที่กระทบตนและผู้อื่น คือไม่แสดงธรรมโดยยกความดีของตัวเองเพื่อโอ้อวด หรือ
ยกความผิดพลาดหรือจุดด้อยของคนอื่นขึ้นมาเป็นเหตุเพื่อประจานความผิด หรือกล่าวล้อเลียนเขา ต้อง
กล่าวมุ่งอธิบายธรรมะจริงๆ และหากต้องยกตัวอย่างประกอบในการอธิบายเพื่อความเข้าใจในธรรมนั้น
ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ผู้อื่นเสียหายได้
ผู้ที่จะให้ธรรมทาน จึงตั้งอยู่ในองค์คุณดังกล่าวมานี้ จะยังประโยชน์ใหญ่ อานิสงส์ยิ่งใหญ่ให้เกิด
ขึ้นกับผู้แสดงธรรมได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้แสดงธรรมได้บุญกุศลมหาศาล ดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส
สรรเสริญว่า “บุคคลให้ธรรมเป็นทาน โดยไม่ปรารถนาลาภสักการะ ย่อมมีอานิสงส์ประมาณมิได้”
4.3.2 ควรแสดงธรรมเมื่อไร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปัจจยวัตตสูตร ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเห็นอำนาจประโยชน์ 3 ก็ควรทีเดียวที่จะแสดงธรรมแก่คนอื่น คือ
1. ผู้ใดแสดงธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ได้รสอรรถได้รสธรรม หมายถึงตัวผู้แสดงธรรมเองได้ประโยชน์
โดยตรง คือมีความเข้าใจในธรรมะนั้นๆ เพิ่มขึ้น มีความซาบซึ้งดื่มในอมตธรรมนั้น ไปจนกระทั่ง
ได้บรรลุธรรมที่ตนแสดง
2. ผู้ใดฟังธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ได้รสอรรถได้รสธรรม หมายถึงผู้ฟังธรรมเป็นผู้ได้ประโยชน์
โดยตรงในทำนองเดียวกัน
3. ผู้แสดงธรรม และผู้ฟังธรรม ย่อมเป็นผู้ได้รสอรรถได้รสธรรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย หมายถึงทั้ง
ผู้แสดงและผู้ฟังธรรมต่างได้ประโยชน์จากธรรมะนั้นพร้อมๆ กันไป (ดังเรื่องของพระเขมกะที่จะกล่าวต่อไป)
4.4 อานิสงส์ของผู้แสดงธรรม
เมื่อใดก็ตามที่มีการแสดงธรรม และฟังธรรมเกิดขึ้น ย่อมเป็นมงคลอย่างยิ่งกับสังคมนั้นๆ เป็น
นิมิตหมายว่าความสุข ความสงบร่มเย็นจะบังเกิดขึ้น ธรรมะจะขจัดบรรเทาปัญหาทั้งปวง เกิดเป็นกระแส
แห่งความดีเข้าแทนที่ สรรค์สร้างให้สังคมนั้นเป็นสังคมที่มีคุณภาพ และเป็นฐานในการสร้างคนดี สร้างคน
ให้มีหลักธรรมในการดำเนินชีวิต การแสดงธรรมจึงให้ประโยชน์ทั้งผู้แสดงธรรมเอง และผู้ฟังธรรม
ทั้งหลายไปพร้อมๆ กัน
ในส่วนของผู้แสดงธรรมนั้น ย่อมเป็นที่ตั้ง เป็นพื้นฐานของความดีทั้งหลาย จนถึงทำให้รู้แจ้ง
เห็นแจ้งในธรรมทั้งปวงได้ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ปัจจยวัตตสูตร, อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต, มก. เล่ม 34 ข้อ 482 หน้า 199.
78 DOU บ ท ที 4 ธ ร ร ม ท า น