ข้อความต้นฉบับในหน้า
แสดง (สะหมาด) น. การที่เอาผืนมานตั้งแต่ ๒ ผืนขึ้นไปมาคล้องเป็น
ผืนเดียวตามลักษณะของไวยากรณ์และศิลปะตฺุล. (ป.ล.) (พจนานุกรม ฉบับราช
บัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หน้า ๑๗๙)
ในคู่มือเสมอจะให้ความหมายของ “สมาส” ไว้ว่า หมายถึง “การย่อนาม
คำศัพท์ตั้งแต่ ๒ บทขึ้นไป เข้าเป็นบทเดียวกัน”
ลักษณะวิเคราะห์แห่งสมาส
นามศัพท์ที่ยังไม่ประกอบด้วยวิภัต เรียกว่า “ศัพท์” เช่น มณฑุก คำศัพท์
ปริศ ศัพท์ เป็นกัน ส่วนที่ประกอบด้วยวิภัตแล้ว เรียกว่า “บท” เช่น มณฑุโม เป็น
บทหนึ่ง ปรุโณ เป็นบทหนึ่ง เมื่อทำผลความต่างว่ามาจากศัพท์และบทได้ยังนี้
แล้ว ผึ่งก่อนหนกว่่า “วิเคราะห์” ต่อไป
วิเคราะห์เนินผลนั้น ต้องประกอบด้วยลักษณะสำคัญ ๒ ประการ คือ
๑. อนุญาติ บทน้อย ที่รับไว้หน้าบทปลง
๒. บทปลง หรือ บทสมาส ที่อาจอนุญาตนี้เข้าเป็นอันเดียวกัน
อุทาหรณ์ มณฑุโม ปรุโโล คำว่า “มณฑโต” ก็ดี “บูโโล” ก็ดี เป็น
บท ที่ยังแยกกันอยู่ จึงจัดเป็นอนุญาต แต่ละบท g., เมื่อเอา มณฑุโม และ ปรุโโล
มาซ้อน ๆ ด้วยกัน เป็น มณฑุโม คำว่า “มณฑโลใน” ในวิเคราะห์นี้จึงเรียกว่า
“บทปลง” หรือ “บทสมาส” คือสำเร็จรูปเป็นบทสมาส โดยนัยดังกล่าวว่า. รูปวิเคราะห์
หนึ่ง ๆ จึงมีกัล อนุญาตและบทปลง
อย่างไรก็ดีตาม อนุญาต (นอกจากทบทวนสมาส) ย่อมมี ๒ บท และชื่อเรียก
ต่างกัน ตามที่อยู่นี้ตรงหลัง อนุญาตก็อยู่ต่ำว่า เรียกว่า “บูหมนาะ” ที่อยู่ หลังเรียก
“อุตตรบรร” เหมือนอย่าง มณฑุโม ปรุโโล ทั้ง ๒ นี้ มณฑุโม อยู่หน้า เรียกว่า
“บูหมนาะ” และ ปรุโโล อยู่หลัง เรียกว่า “อุตตรบรร” พึ่งกำหนดอนุญาตังือ่งแผ่น
บุพพนบตามอะไรบ้าง และบทปลง ตามที่อ้างดังกล่าวมานี้
ประโยชน์ของสมาส
สมาสนั้นมีประโยชน์และเป็นอุปกรณ์ทางด้านภาษาเพื่อความสมบูรณ์และประการ ได้แก่
๑. เพื่ออบหลาย ๆ บท หรือศัพท์บางคำ ให้เข้าเป็นบทเดียวกัน
ท่านให้อนุลง เช่น อุตเสน (บุฌโฏ) รถ = อุตสโร รถเทียมแล้วด้วยม้า เป็นต้น