ข้อความต้นฉบับในหน้า
шара
รวบรวมสืบสวน
สาส์น
แต่ถ้าพื้นที่ดินกรุณั่นนี้ แยกออกได้ว่า มี ดังนี้ ๓ พื้นที่บไปต่อกันอยู่ อย่างนี้
จัดเป็นมณฑลได้ เช่น
คำว่า “ฉลูปปลปตูด อ. กลีบของดอกอุบลเขียว” (ดัง-อุปปล-ปฏต) มี
วิเคราะห์ว่า
๑. ฉลู อุปปล = ฉลูปลปล
๒. ฉลูปลส ปุตต = ฉลูปลปลุตต์
วิเคราะห์ที่เป็นศาสตร์านุกรมกัมมาธิวาสน์วิเคราะห์ที่ ๒ เป็นฉลูรัฐปูริสมาส และในที่นี้ขูับปรัสมานด์ จัดเป็นสาขาใหญ่ ส่วนในสาขานูบูพบนกัมมาธิสมาส จัดเป็นสาขาต้อง
องค์ประกอบของสมาส้องนั้น ต้องประกอบด้วย สมาชใหญ่ ๑ สมาส และ สมาสที่เป็นน้องอีก ๑ สมาส แค่สมาสที่เป็นท้องนั้นอาจจะมีมากกว่า ๑ สมาส คือเป็น ๒-๓-๔ สมาส ก็ได้ อยู่ที่ว่าพื้นที่ที่ต่อกันอยู่ในนั้นมีมากเท่าใด
ถ้ามี ๓ พื้นที่ต่อกันอยู่ ก็จะเป็น สมาสใหญ่ ๑ สมาส สมาสท้อง ๑ สมาส (๒ สมาส)
ถ้ามี ๔ พื้นที่ต่อกันอยู่ ก็จะเป็น สมาสใหญ่ ๑ สมาส สมาสท้อง ๒ สมาส (๔ สมาส)
ถ้ามี ๕ พื้นที่ต่อกันอยู่ ก็จะเป็น สมาสใหญ่ ๑ สมาส สมาสท้อง ๓ สมาส (๕ สมาส) เป็นต้น
วิธีตั้งเกณฑ์อย่างนี้ใช้กับคำที่เป็นสมาส้องทั่วไป แต่ใช้ไม่ได้กับ คำพธ์สมาส้องที่มีทั้งกาวสมาสมาถขึ้นเกี่ยวข้อง เพราะสมาส้องที่มีทั้งกาวสมาสมาถเกี่ยวข้องนั้น แล้วจะตั้งคำพธ์กลายคำที่ต่อกันอยู่ ก็เป็นได้เพียง ๒-๓ สมาสเท่านั้น ดังวิเคราะห์ข้างต้นก็คงเป็นจริง เพราะนามนามหลาย ๆ คำที่เขียนด้วยกัน ก็เป็นเพียงกำกันรวมสมาสเดียวเท่านั้น เช่น
คำว่า “ปัญญปุปผลสมปุนรุกโฺ อ. ตันโมเดี้ยงพร้อมแล้วด้วยใบไม้และดอกไม้และผลไม้” คำศัพท์นี้มีคำที่ต่อกันอยู่ ๔ คำ คือ ปัญญ-ปุปผล-สมปุน-