ข้อความต้นฉบับในหน้า
คณะอำนวยการโรงเรียนวัดบางกะ
๖๕ ปี (๒๕๕๖-๒๕๕๘)
๒๓
รูปร ถ้าสังเกตตามลักษณะข้างต้น ก็จะมี ๔ สมาส (๒ พักที่ เป็น ๔ สมาส) แต่
ศัพท์นั้นเพียง ๓ สมาสเท่านั้น คือ เป็นวิสัญญูพบกามมามี อสมาสาร
วันทวะสมาส และ คิดยาตัปปะสมาส เป็นท้อง วิจาร sweater
๑. อส.ทวาท.ว. ปุณณญา ปุณญา ผลญา = ปุณญปุปผมาส
๒. ต.ติป. ปุณญปุปผเล่ สมปุนโ = ปุณญปุปผสมปุนโ (รุกโซ)
๓. วิ.บพ.กัมม. ปุณญปุปผสมปุนโ รุกโ = ปุณญปุปผสมปุนรโ
การเรียนสมามหา ท้อง นอกจากต้องสังเกตพื่นที่ด้านอยู่ และดำเนินระหว่าง
ทั้งพื่นที่ต่อพื่นที่แล้ว การที่รู้ว่า คำ sensación คือ คำพูดใน คำสัมผัส นั้น
ก็อาจว่าอยู่สำหรับนักเรียน แต่ก็ผมวิธีที่จะกำหนดได้บ้าง เพราะสมาต้อง
โดยทั่วไปมีอยู่ ๔ ลักษณะ คือ
๑. สมามใหญ่ คือ คำศัพท์หลัง สมาท้อง คือ คำที่ต่อกันอยู่หน้า
๒. สมามใหญ่ คือ คำศัพท์หน้า สมาดอง คือ คำที่ต่อกันอยู่หลัง
๓. สมามใหญ่ อยู่ตรงกลางระหว่างคำศัพท์นั้นและคำศัพท์หลัง สมาท้องก็คือ
คำศัพท์หน้าและคำศัพท์หลัง
๔. สมามที่มีลักษณ์เกี่ยวข้อง คือ มติชิตเป็นใหญ่บ้าง มติชิตเป็นท้อง
บ้าง
ลักษณะของสมามต้องโดยทั่วไป มี ๔ เลนนี้ เมื่อกำหนดได้แล้ว ก็จะได้ว่า
คำศัพท์เป็นสมามใหญ่ คือ คำศัพท์หน้า หรือคำศัพท์หลัง เป็นต้น เมื่อรู้แล้วจะได้วิเคราะห์
ได้ถูกต้อง เพราะถ้าจำวิเคราะห์ผิดแล้ว แปลเป็นภาษาหมายก็ได้รับความหมายที่ผิด
ต่อไปจะเผยแสดงอธิบายสมาท้อง ทั้ง ๔ ลักษณะ ตามคำดำเนินดังนี้
๑. สมามใหญ่ คือ คำศัพท์หลัง สมาท้อง คือ คำที่ต่อกันอยู่หน้า
สมาท้องรักษณะนี้ เวลานำไปจะไปหาคำหน้า แต่เวลา
ตั้งวิเคราะห์ จะต้องตั้งคำดับการแปล คือ ตั้งวิเคราะห์คำหน้าไปหาคำหลัง
นั้น เมื่อเห็นคำที่เป็นสมาท้องลักษณะนี้ ต้องถามดูคำว่า มีศัพท์ ต่อกัน
อยู่เท่าไร ระหว่างคำศัพท์ที่อยู่ก่อนอยู่ คำแสดงว่ากันอย่างไร เป็นสมาละได้
บ้าง แล้วจริงค่อยลงมือวิเคราะห์ เช่น