ข้อความต้นฉบับในหน้า
๒๑๐ มงคลที่ ๒๓
พระสารีบุตรตอบว่า กิเลสมิมีได้มีสิตประคองจิตไว้ในกาย ก็จะพึงกระทบเพื่อนสมหวงจรรจ์แล้ววาจาไปโดยไมขอโทษเป็นแน่ แต่ตัวท่านเองนั่น ทำใจเสมื่อแผ่นดิน น้ำ ไฟ ลม และผ้าจะร้อนจะเย็นกับของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างอยู่เสมอ และเสมือนเด็กฉันทาสที่พลัดเข้าไปในหมู่บ้าน หรือเหมือนโคเขาหักเสียแล้ว ยอมไม่มีอำนาจที่จะกลัวกลั
อาจหาอญูได้แต่ใด ท่านมีแต่ความเมอร่างกายอันเปล่านั้น
ลองพิจารณาดูเองว่า ขนดพระสารีบุตร ซึ่งก่อนบรรทัดรำเรียนจนเจนจบในวิชา ๑๘ ประการมาแล้ว เปรียบสมัยนนี้เท่ากับได้ปริญญา ๑๘ สาขา บวแล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์ เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีความอ่อนน้อมถ่อมตนถึงเพียงนี้ มีความเจียมตัวอยู่ตลอดเวลา เปรียบตนเองเหมือนผีร้ายเก่าๆ เหมือนโคที่ผ่านมาแล้ว เหมือนเด็กฉันทาส ซึ่งเป็นคนขั้นต่ำในอินเดียสมัยนั้น ไม่มีความถ่องตัวทะนงตนแต่ใด แล้วพวกเราซึ่งยังเป็นปุฏฐุธรรมดาๆ อยู่นี้ล่ะ มีออะไรนักหนาจึงจะมายอัตตัวกัน
เมื่อพระสารีบุตรกล่าวอยู่เช่นนี้ พระภิกษุปุรามก็เกิดความร้อนในสรีระเหมือนมีไฟมาเผาดำ อดทนอยู่ไม่ได้ ต้องลุกขึ้นขอโทษพระสารีบุตร และยอมรับสภาพด่่อมๆ สูงๆ กว่านี้ใกล้ความพราสูริต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญพระสารีบุตรวา “มีใจมันคง เหมือนแผ่นดิน เหมือนเสาเขื่อน เป็นผู้จูใสสะอาดปราศจากกิเลส เหมือนน้ำที่ไม่มีฝุ่นหรือโคลนตม สังสารวัฏย่อมไม่มีแก่บุคคลเช่นนี้”