ข้อความต้นฉบับในหน้า
เห็นอธิบายจึง ๓๕
๓๙
อภิษัชจ์ที่ ๒ สมุห์
สมุห์ คือเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายดังกล่าวข้างต้น ผู้ที่ฝึกสมาธิมาน้อยหาเหตุแห่งความทุกข์ไม่เจอ จึงโทษไปต่างๆ นานา ว่าเป็นการลงโทษของพระเจ้า บ้าง ถ้าผิดบ้าง ถ้าเป็นจริงละก็ ผิดก็ตื่นใจร้ายดู เที่ยวไปรั้งแค้นโน้นคนนี้ทั้งวันให้เขามีทุกข์ หน้าคงจะหิ้งอยู่ทั้งวัน
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงฝึกสมาธิมากในใจของพระองค์จึงเลว่างเกิดปัญญามองเห็นความจริงอย่างชัดเจนว่า ที่เราทุกข์ๆ กันอยู่นี้ สาเหตุมาจาก ตัณหา คือความทะยานอยากที่มีอยู่ในใจของเราเอง แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
๑. กามตัณหา ความอยากได้ เช่น อยากได้เงิน อยากได้ทอง อยากสนุก อยากมีเมียอยากให้คนชมเชยยกย่อง สรุปคืออยากได้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ที่น่าพอใจ
๒. ภาวตัณหา ความอยากเป็น เช่น อยากเป็นนายกรัฐมนตรี อยากเป็นใหญ่เป็นโต อยากเป็นนายพล อยากเป็นคุณหญิง ฯลฯ
๓. วิภัตตัณหา ความอยากไม่เป็น เช่น อยากไม่เป็นคนจน อยากไม่เป็นคนแก่ อยากไม่เป็นคนโรค ฯลฯ
มนุษย์เราเกิดมาจากตัณหา ลอยคออยู่ในตัณหา เคยชินกับตัณหา คุ้นเคยกันกับตัณหา จนเห็นตัณหาเป็นเพื่อนสนิท กินด้วยกัน อยูด้วยกัน ถ้าขาดตัณหาแล้ว เขากลัวว่าจะขาดสรรคของชีวิตที่เคยได้ เคยอยู่ เคยเป็น แต่ความเป็นจริง ตัณหานั่นแหละเป็นเพื่อนก็ถือเป็นเพื่อนเทียม ที่คอยหลอกล่อล่ำทุกข์มาให้เราแล้วก็ยินดีมีหัวเราะชอบใจ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหมือนแพทย์ผู้ผ่านนาม ทรงแยกแยะสาเหตุของโรค สาเหตุของทุกข์ ให้เราเห็นว่ามาจากอะไร เชื้อโรคชนิดไหน กลิ่นส ชนิดใด