เข้าใจกรรมและการเวียนตายเวียนเกิดในพระพุทธศาสนา GL 203 กฎแห่งกรรม หน้า 24
หน้าที่ 24 / 214

สรุปเนื้อหา

ในมัชฌิมยาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุวิชชา 2 และเห็นการจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหมดตามกรรม ทำให้เข้าใจความแตกต่างในชีวิตและความทุกข์ยากสลับซับซ้อนของการเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ ทั้งต่ำทรามและประณีต พระองค์ทรงบรรลุวิชชาที่ 3 ในปัจฉิมยาม โดยทำลายอาสวกิเลสและบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชีวิตหลังความตายและผลของกรรมที่จำแนกสัตว์ไปสวรรค์หรือนรก พระองค์ได้สอนเรื่องการปรับตัวตามเวลาและกรรมวิบากที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นจากวงจรสังสารวัฏ พร้อมทั้งเน้นถึงความซับซ้อนของกรรมที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัยธรรมจักษุ เพื่อให้เห็นแจ้งในมิติทางจิตวิญญาณ.

หัวข้อประเด็น

-การตีความกรรม
-วิชชาในพระพุทธศาสนา
-หลักการเกิดและการตาย
-ความแตกต่างของสัตว์ตามกรรม
-การหลุดพ้นจากสังสารวัฏ

ข้อความต้นฉบับในหน้า

มัชฌิมยาม ท่ามกลางแห่งราตรี บรรลุวิชชาที่ 2 จุตูปปาตญาณ คือ กำหนดรู้การจุติและ การอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ทรงเห็นการไปเกิดมาเกิดการเวียนตายเวียนเกิดของสรรพสัตว์ด้วยธรรมจักษุว่า เป็นไปตามกรรม ทำให้ถือกำเนิดต่างกัน บ้างถือกำเนิดต่ำทรามเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี เปรตอสุรกายก็มี มีผิวพรรณหยาบ ทุกข์ยากลำบากในการดำรงชีวิต บ้างตัวถือกำเนิดประณีต เป็นมนุษย์ก็มี เทวดาก็มี มีผิวพรรณดีอ่อนละมุนมีความเป็นอยู่ดี ณ ตรงจุดนี้เองที่พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งเรื่องราวกฎแห่งกรรมของหมู่ ทรงทอดพระเนตรเห็นว่ากรรมคือเบื้องหลังที่จำแนกหมู่สัตว์ให้มีความแตกต่างกัน ยิ่งแตกต่างกันมาก เท่าไรยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งกันทางความคิด คำพูด การกระทำ ปัจฉิมยาม ที่สุดแห่งราตรี บรรลุวิชชาที่ 3 อาสวักขยญาณ คือ ทำลายอาสวกิเลสของพระองค์ ให้หมดสิ้นไป บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ 4 แห่งภัทรกัปนี้ ทรงเป็น สัพพัญญู เป็นที่พึ่งพิงแห่งสัตวโลก ทรงอาศัยพระมหากรุณาธิคุณต่อหมู่สัตว์ นำมาบอกเล่าให้ฟังว่า ชีวิต หลังความตายยังมีภพชาติเกิดขึ้น เพราะกรรมและการให้ผลแบ่งแยกหมู่สัตว์ไปนรกบ้างไปสวรรค์บ้าง ทำ อย่างไรจึงไปนรก ทำอย่างไรจึงไปสวรรค์ ทรงบอกหมดไม่ปิดบังไม่หวงความรู้ เพราะว่าตลอด 20 อสงไขยกัป กับเศษอีกแสนกัป ทรงบำเพ็ญเพียรมุ่งตรงต่อหนทางการตรัสรู้อริยสัจ 4 ประการ เพื่อยกตนและหมู่สัตว์ ให้หลุดพ้นจากวงจรสังสารวัฏนี้ เวลากลางคืนสมัยโบราณแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงละ 4 ชั่วโมง เพื่อให้เกิดความเข้าใจจึงต้อง เทียบกับเวลาปัจจุบัน ดังนี้ ปฐมยาม เวลาโดยประมาณ 18.00-22.00 น. มัชฌิมยาม เวลาโดยประมาณ 22.00-02.00 น. ปัจฉิมยาม เวลาโดยประมาณ 02.00-06.00 น. 1.2.2 กรรมวิบากเป็นอจินไตย กรรมและการให้ผลของกรรมเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่เสขบุคคล คือ บุคคลที่ยังต้องศึกษาเพื่อ การหลุดพ้น และปุถุชนธรรมดาไม่ควรคิดด้วยสติปัญญาของตน เพราะเรื่องกฎแห่งกรรมมีกลไกที่ซับซ้อน อย่างมาก ไม่อาจแยกแยะด้วยตาเปล่าหรือการคิดเชิงเหตุผลโดยมีสมมติฐานจากการคาดการณ์เอาทฤษฎี โน้นมาผสมทฤษฎีนี้ คิดกันไม่รู้จบ ท่านนี้คิดอย่างนี้แต่ท่านอื่นคิดอีกอย่าง ความเห็นไม่ตรงกัน บางท่านคิด จนตายก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ การเห็นกรรมวิบากจะต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะคือธรรมจักษุ ที่ทำให้เกิด ญาณหยั่งรู้เห็นอย่างแจ่มแจ้งเรื่องในอดีตชาติ(อดีตังสญาณ) ปัจจุบันชาติ(ปัจจุปปันนังสญาณ) อนาคต อนาคตังสญาณ) และญาณกำหนดรู้ว่าสัตว์ทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรม(ยถากัมมูปคญาณ) ซึ่งมี แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้เรื่องนี้ได้จึงเป็นพุทธวิสัย พระองค์ตรัสบอกผู้ที่กำลังคิดหรือกำลัง 14 DOU ก ฏ แ ห่ ง ก ร ร ม
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More