ข้อความต้นฉบับในหน้า
บำเพ็ญสมณธรรมจนได้ฌานและอภิญญา ในป่านั้นมีแม่เนื้อตัวหนึ่งมาเคี้ยวกินหญ้าที่เจือน้ำเชื้อของดาบส
ในสถานที่ถ่ายปัสสาวะของดาบสแล้วดื่มน้ำ นางเนื้อนั้นมีจิตรักใคร่ผูกพันในดาบส จึงตั้งครรถ์ เมื่อนาง
เนื้อคลอดบุตรเป็นมนุษย์ผู้ชาย ดาบสจึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า อิสสิงคกุมาร และเลี้ยงดูจนเจริญวัยจึงให้บวช
เป็นดาบส และสั่งสอนในกสิณบริกรรม ในไม่ช้าฌานและอภิญญาก็เกิดขึ้น อิสสิงคดาบสได้ฝึกเข้าฌาน
ประลองฌานจนเกิดความชำนาญ เป็นเหตุให้อาสนะท้าวสักกะแสดงอาการร้อน เมื่อท้าวสักกะทรงทราบเหตุ
ก็เกรงว่าตนเองจักหมดอำนาจ เพราะบารมีและศีลของดาบส จึงคิดจะทำลายศีลของดาบสโดยการ
ห้ามฝนไม่ให้ตกในกาสิกรัฐตลอด 3 ปี ทำให้ชาวเมืองเดือดร้อน จึงไปกราบทูลพระราชา จากนั้นท้าวสักก
เทวราชก็มาบอกแก่พระราชาว่า “อิสสิงคดาบส มีตบะกล้าแข็ง เพ่งดูอากาศ ฝนจึงไม่ตก จึงต้องทำลาย
ตบะของพระดาบสเสีย” พระราชาจึงให้พระธิดาพระนามว่า นฬินิกา ไปทำลายตบะดาบส
วันหนึ่ง ดาบสพระโพธิสัตว์ให้อิสิสิงคดาบสผู้เป็นบุตรเฝ้าอยู่ที่อาศรม ตนเองเข้าไปสู่ป่าเพื่อหา
ผลไม้น้อยใหญ่ พระราชธิดานฬินิกาที่ปลอมตัวเป็นฤๅษีจึงได้โอกาสเข้าไปในอาศรมของดาบส และทำลาย
ตบะของดาบสได้สำเร็จ เมื่อหลอกทำลายศีลของดาบสให้วิบัติได้แล้วจึงรีบกลับพระนคร พระโพธิสัตว์กลับ
มาเห็นอิสสิงคะนอนบ่นเพ้อรำพันอยู่ ก็ทราบว่า ศีลของดาบสนี้ เห็นทีจักถูกผู้หญิงคนหนึ่งทำลายให้ขาด
เสียแล้วเป็นแน่ ดังนี้เมื่อจะกล่าวสอนดาบสนั้น จึงกล่าวว่า
“ดูก่อนลูกรัก ก็ภูตคือพวกยักษ์นั้นย่อมเที่ยวไปในมนุษยโลก โดยรูปแปลกไว้ ก็เพื่อเคี้ยวกิน
พวกคนที่ตกไปสู่อำนาจของตน นรชนผู้มีปัญญาไม่พึงคบหาพวกภูตคือยักษ์เหล่านั้น การประพฤติพรหมจรรย์
ย่อมฉิบหายไป เพราะถึงความเกาะเกี่ยวกันเช่นนั้น ดังนั้นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ไม่ควรลุ่มหลงพวกฤาษีที่
ปลอมตัวมาหลอก เพราะหากลุ่มหลงก็จะทำให้ละทิ้งตบะและเดชแห่งสมณะ เจ้าถูกนางยักษิณีนั้นพบเห็นแล้ว
แต่ยังไม่ถูกเคี้ยวกิน”
อิสิสิงคดาบสได้ฟังดังนั้นเกิดความกลัวกลับได้สติ จึงตั้งใจเจริญพรหมวิหาร คือ เมตตา กรุณา มุทิตา
และอุเบกขา แล้วกลับได้ฌานและอภิญญาอีกครั้งหนึ่ง เจริญพรหมวิหารอยู่จนตลอดชีวิต เมื่อถึงคราว
ละโลก ฌานสมาบัติซึ่งเป็นอุปปัชชเวทนียกรรมฝ่ายกุศล ก็ทำให้ได้ไปบังเกิดบนพรหมโลก
สำหรับการให้ผลของอุปปัชชเวทนียกรรมนั้น อุปปัชชเวทนียกรรมทั้ง 2 ฝ่าย จะให้ผลตามลำดับ
หนักเบา คือ เมื่อบุคคลกระทำกรรมอันเป็นอุปปัชชเวทนียกรรมฝ่ายอกุศลกรรมไว้หลายประการ ครั้นเมื่อ
เขาตายแล้ว อุปปัชชเวทนียกรรมฝ่ายอกุศลกรรมชนิดที่หนักที่สุดย่อมให้ผล คือชักนำให้บุคคลนั้นไปเกิด
ในนรกทันที ต่อเมื่ออกุศลกรรมชนิดหนักที่สุดให้ผลแล้ว อกุศลกรรมชนิดเบารองลงมาก็จะกลายเป็น
อโหสิกรรม ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่ประกอบอนันตริยกรรมทั้ง 5 ประการ เมื่อเขาตายไปแล้ว สังฆเภทซึ่งเป็น
กรรมที่มีโทษหนักที่สุดย่อมให้ผลชักนำให้บุคคลผู้นั้นไปเกิดในนรกทันที ส่วนอนันตริยกรรมที่เหลือก็จะกลาย
เป็นอโหสิกรรม จะไม่มีโอกาสให้ผลแก่เขาเลย
คําอธิบายรายละเอียดเรื่องนี้ได้กล่าวไว้แล้วในบทที่ 4
บ ท ที่
5
ก ร ร ม ห ม ว ด ที่ 3 ก ร ร ม ใ ห้ ผ ล ต า ม ก า ล เ ว ล า DOU 109