การศึกษาเกี่ยวกับอโหสิกรรมในพระพุทธศาสนา GL 203 กฎแห่งกรรม หน้า 123
หน้าที่ 123 / 214

สรุปเนื้อหา

เนื้อหานี้อธิบายเรื่องอโหสิกรรมในพระพุทธศาสนา ว่าการกระทำกรรมแม้จะเป็นอกุศลกรรม แต่เมื่อเกินระยะเวลาในการให้ผลแล้วจะไม่มีโอกาสให้ผล ซึ่งเรียกว่าอโหสิกรรม เช่น กรณีองค์พระอรหันต์อาจกระทำกรรมไว้แต่ไม่ให้ผล เฉกเช่นการวิ่งหนีสุนัข ข้อความยังชี้ให้เห็นถึงการกระทำของพระมาลกติสสะที่เป็นพระพรานและอธิบายถึงกรรมที่ต้องผ่านการให้ผลในเวลาที่กำหนดโดยไม่มีโอกาสที่กรรมจะให้ผลหลังจากนั้น ว่าด้วยซึ่งเป็นทั้งกรรมกุศลและอกุศลที่ล่วงเลยเวลา และการถึงพระนิพพานซึ่งทำให้กรรมไม่ให้ผลเลย

หัวข้อประเด็น

-อโหสิกรรม
-พระพุทธศาสนา
-กรรม
-ผลกรรม
-กุศลกรรม
-อกุศลกรรม

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ไม่มีแล้ว เช่น องคุลิมาลฆ่าคน ผลของกรรมที่ฆ่ามนุษย์นั้น ไม่สามารถให้ผลได้ เพราะเป็นพระอรหันต์แล้ว ทำให้สิ้นภพสิ้นชาติ กรรมที่ทำเอาไว้นั้นตามให้ผลไม่ได้อีก คือไม่ต้องเกิดอีก กรรมนั้นไม่มีผู้รับสนอง จึง เป็นอโหสิกรรมไป เปรียบเหมือนบุคคลวิ่งหนีสุนัข สามารถข้ามไปอีกฝั่งได้แล้ว ซึ่งเหลือวิสัยที่สุนัขจะไล่ตามได้ เมื่อบุคคลผู้นั้นไม่กลับมาฝั่งนี้อีก สุนัขซึ่งเฝ้าคอยอยู่ก็จะตายไปเอง ดังนั้น กรรมทั้งหลายที่บุคคลกระทำไว้ ถ้าล่วงเลยเวลาในการให้ผลของกรรมแต่ละกรรมดังที่ กล่าวมาแล้ว กรรมเหล่านั้นย่อมไม่มีโอกาสที่จะให้ผลแก่บุคคลที่กระทำกรรมได้ กรรมทั้งหลายนั้นก็จะ กลายเป็นอโหสิกรรมไป ดังนัยที่แสดงไว้ใน สัมโมหวิโนทนี ว่า กรรมที่เหลือทั้งหลายย่อมไม่ให้ผล “ก็บรรดากรรมทั้งหลายแม้มาก มีทิฏฐธัมมเวทนียกรรม เป็นต้นนั้น กรรมอย่างหนึ่งให้ผล ในภพปัจจุบันแล้ว กรรมที่เหลือย่อมไม่ให้ผล กรรมอย่างหนึ่งให้ผลเป็นอุปปัชชเวทนียะให้ปฏิสนธิแล้ว กรรมอย่างหนึ่งให้เกิดในนรกด้วยอนันตริยกรรมหนึ่งแล้ว กรรมทั้งหลายที่เหลือย่อมไม่ให้ผล บรรดาสมาบัติ 8 สมาบัติหนึ่งให้ผลเกิดในพรหมโลก กรรมที่เหลือ ย่อมไม่ให้ผล ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกล่าวว่า กัมมวิบากไม่ได้มีแล้ว” เพราะฉะนั้น อโหสิกรรม จึงได้แก่ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม อุปปัชชเวทนียกรรม และอปรูปริยาย- เวทนียกรรม ทั้งฝ่ายกุศลกรรมและฝ่ายอกุศลกรรม ซึ่งล่วงเลยเวลาที่กำหนดไว้ โดยไม่มีโอกาสที่จะให้ผล แก่บุคคลที่กระทำกรรมได้ คือเป็นกรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผล ไม่ว่ากรรมนั้นจะเป็นฝ่ายอกุศลกรรมหรือฝ่าย กุศลกรรมก็ตาม หากว่าล่วงเลยเวลากำหนดที่จะให้ผลแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสที่จะให้ผลอีกต่อไป อีกประการ หนึ่งแม้ว่ากรรมนั้นยังไม่ให้ผล แต่หากว่าเจ้าของกรรมได้เข้าสู่พระนิพพานแล้ว กรรมนั้นก็จะไม่มีโอกาส ให้ผล กลายเป็นอโหสิกรรม ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ฝ่าย คือ 1) อโหสิกรรมฝ่ายอกุศลกรรม คือ อกุศลกรรมทุกชนิดที่บุคคลกระทำไว้แล้ว เมื่อล่วงเลยเวลา ที่กำหนดในการให้ผลแล้ว โดยที่ไม่มีโอกาสจะให้ผลแก่บุคคลที่กระทำอกุศลกรรมได้ อกุศลกรรมนั้นจัดเป็น อโหสิกรรมฝ่ายอกุศลกรรม ดังกรณีศึกษาจากพระไตรปิฎก เรื่องพระมาลกติสสะ พระมาลกติสสะเกิดในครอบครัวพราน มีบ้านอยู่ในเส้นทางที่พระภิกษุแห่งคเมณฑวาสวิหาร ใน โรหณชนบท ออกบิณฑบาต เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ครองเรือน และมีอาชีพเป็นนายพราน ทำบ่วงสำหรับดักสัตว์ และฝังหลาวไว้ในที่ต่างๆ อย่างละ 100 ได้สั่งสมบาปเป็นอันมาก วันหนึ่งเขาถือไฟและเกลือออกจากบ้าน เข้าไปในป่า ฆ่าเนื้อที่ติดบ่วง ทำให้สุก แล้วบริโภค รู้สึกกระหายน้ำจึงเข้าไปในคเมณฑวาสวิหาร แต่ไม่ได้ น้ำดื่มเลย ทั้งที่ในโรงน้ำสำหรับดื่มมีหม้อน้ำราว 10 หม้อ จึงโกรธและกล่าวโทษว่ามีพระภิกษุอยู่ตั้งมาก แต่ไม่มีน้ำดื่มเพียงบรรเทาความกระหาย สำหรับผู้มาเพื่อหวังจะดื่ม พระจุฬบิณฑปาติกติสสเถระฟัง กรรมในปฏิสัมภิทามรรค, อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก วิภังค์, มก. เล่ม 78 หน้า 732 นีวรณปหานวรรค อรรถกถาสูตร, อรรถกถาอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต, มก. เล่ม 32 หน้า 58 บ ท ที่ 5 ก ร ร ม ห ม ว ด ที่ 3 ก ร ร ม ใ ห้ ผ ล ต า ม ก า ล เ ว ล า DOU 113
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More