ข้อความต้นฉบับในหน้า
ผู้ที่สามารถหลุดพ้นจากกิเลส เพราะการรู้แจ้งอริยสัจ 4 ตามอริยมรรคนั้นจิตของท่านมุ่งตรงต่อ
หนทางหลุดพ้นคือพระนิพพานได้แก่พระอริยบุคคล คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี
ท่านเหล่านี้ขจัดกิเลสจนเหลือน้อยเต็มที่ หากสามารถขัดเกลาจิตจนบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสได้อย่าง
สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษให้งอกเงยได้ต่อไปในปัจจุบันชาติ ทันทีที่ละสังขารจะเข้าสู่พระนิพพานทันทีไม่ต้องไป
เวียนตายเวียนเกิดอีกได้แก่พระอริยบุคคลชั้นสูง คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และ
พระอรหันตสาวก ฉะนั้นการได้เกิดเป็นมนุษย์แต่ยังไม่สามารถละกิเลสได้ก็ยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิด
ต่อไปอีกเช่นเดียวกับมวลหมู่สัตว์อื่นๆ ชีวิตก็วนเวียนตายเกิดซ้ำๆ แต่ไม่ซ้ำประเภท สัตวโลกต้องประสบ
ทุกข์เพราะการเกิดมาต่อสู้กับกิเลส เสี่ยงต่อการสร้างกรรมและการรับผลกรรมเก่าๆ อยู่ร่ำไป ฉะนั้น
มวลหมู่สัตว์ทั้ง มนุษย์ เทวดา สัตว์นรก ก็คือเพื่อนร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น จึงไม่
ควรมองว่าเป็นศัตรูต่อกันและกันเพราะศัตรูตัวจริงคือผู้ที่บังคับให้หมู่สัตว์ทั้งหมดเวียนว่ายตายเกิดไม่หลุดพ้น
ด้วยเหตุที่ว่า “ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจร้าย
พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมไปตามเขา” จากการศึกษาพบว่าทุกอย่างล้วนมุ่งไปที่จิตใจ เช่นเดียวกับ
เรื่องกฎแห่งกรรมเคยมีผู้ถามพระพุทธองค์ว่า การกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ อย่างไหนที่ทำไป
แล้วมีโทษมากที่สุด ทรงตอบว่า มโนกรรมมีโทษมากกว่ากายกรรมและวจีกรรม ทรงอุปมาว่า หมู่บ้านที่มี
ผู้คนอยู่อาศัยเป็นร้อยเป็นพัน บุรคิดจะฆ่าคนในหมู่บ้านนี้ให้หมด แต่เมื่อลงมือเขาอาจจะฆ่าได้ไม่เกิน
10-50 คนเท่านั้น ถ้าไม่เหนื่อยเสียก่อน ก็ถูกเขาฆ่าตาย” ซึ่งทำให้เห็นชัดว่า จิตของคนเราคิดทำอะไรได้
มากมายยิ่งใหญ่มหาศาล มากยิ่งกว่าการกระทำทางกายและทางวาจา เมื่อมนุษย์สามารถควบคุมตนอยู่ใน
ศีลธรรมจึงไม่มีความจำเป็นด้วยประการทั้งปวงที่จะต้องตรากฎหมายออกกฎเกณฑ์มามากมายเพื่อใช้
ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ และทุกปัญหาจะยุติลงได้เมื่อมนุษย์มี
ศีลธรรมประจำใจอันเป็นต้นเหตุทางมาแห่งความดีทั้งปวงด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงจำเป็นจะต้องควบคุมจิตใจให้ดี
สงบอยู่ในฐานที่ตั้งดั้งเดิมของจิต จิตใจจะดีได้กายกับวาจาจะต้องดีด้วย จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์
อรรถกถาอัจฉริยัพภูตสูตร, มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์, มก. เล่ม 23 หน้า 53 ระบุระยะเวลาการสั่งสม
บุญบารมีของพระอริยบุคคลชั้นสูงว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 3 ประเภท คือ 1) ประเภทวิริยาธิก ทรงบำเพ็ญบารมีครบ
30 ทัศ เป็นเวลา 80 อสงไขยกัป เศษอีกแสนกัป 2) ประเภทสัทธาธิก ทรงบำเพ็ญบารมีครบ 30 ทัศ เป็นเวลา 40
อสงไขยกัป เศษอีกแสนกัป 3) ประเภทปัญญาธิก ทรงบำเพ็ญบารมีครบ 30 ทัศ เป็นเวลา 20 อสงไขยกัป เศษอีกแสน
กัป
ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้าสั่งสมบุญบารมี 2 อสงไขยกัป เศษอีกแสนกัป / พระอัครสาวกตั้งความปรารถนาสั่งสม
บุญบารมี 1 อสงไขยกัป เศษอีกแสนกัป / พระอรหันตสาวกสั่งสมบุญบารมีแสนกัปฟังธรรมเพียงบทหรือสองบทก็บรรลุ
ธรรม
3
เรื่องพระจักขุปาลเถระ, อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท, มก. เล่ม 40 หน้า 34
อุปาลิวาทสูตร, มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์, มก. เล่ม 20 ข้อ 64 หน้า 114
บทที่ 8 บ ท ส รุ ป ส า ร ะ สำ คั ญ กฎ แ ห่ ง ก ร ร ม เชิงสัมพันธ์ DOU 189