ข้อความต้นฉบับในหน้า
ดังจะเห็นได้ว่าโครงสร้างภาพรวมของกรรมและการให้ผลของกรรมมีความเป็นมา 3 ช่วงสำคัญๆ
ซึ่งได้ยึดถือเป็นเนติแบบแผนสำหรับวางแนวทางการศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมตราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
1.2.10 ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกรรม
อวิชชาคือความไม่รู้ เมื่อไม่รู้จึงถูกกิเลสครอบงำได้ง่าย ทำให้หมู่สัตว์เห็นผิดเพี้ยนในการกระทำทาง
กาย ทางวาจา และทางใจ จึงส่งผลทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด มีสังขารมีวิญญาณรองรับ ถือกำเนิด
ในรูปแบบต่างๆ ตามแต่กรรมนำไป เมื่อมีกายและจิตแล้วทำให้พร้อมต่อการรับรู้สิ่งต่างๆ ทั้งดีและไม่ดี
เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกสูดดมกลิ่น กายรับรู้การสัมผัส ทั้งหมดนี้จะส่งความรู้สึกไปที่ใจ ใจก็จะ
รับรู้และเก็บสิ่งที่ดีหรือไม่ดีนั้นไว้ จากตรงจุดนี้จึงเป็นมูลเหตุที่ก่อให้เกิดกรรม ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสถึงการ
ดับกรรมไว้ว่า “ความดับแห่งกรรมย่อมเกิดขึ้น เพราะความดับแห่งผัสสะ” หมายความว่าถ้าดับผัสสะ
การกระทบนี้ได้แล้วสิ่งที่จะไม่เกิดก็คือ การรับรู้ว่าสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ อันเป็นปัจจัยให้เกิดความตัณหา
ความทะยานอยาก ส่งทอดทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น ของติดอยู่ในภพ ชาติ การเวียนว่ายตายเกิดใน
วัฏสงสารแห่งทุกข์นี้ไม่รู้จบสิ้น ดังนั้นจึงตรัสว่า จะดับกรรมต้องป้องกันการกระทบรับรู้นั้นด้วยปฏิปทาให้
ถึงความดับแห่งกรรม คือ อริยมรรคมีองค์ 8 ประการ
1) สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นถูกต้อง
2) สัมมาสังกัปปะ ความคิดถูกต้อง
3) สัมมาวาจา
วาจาถูกต้อง
4) สัมมากัมมันตะ การงานถูกต้อง
5) สัมมาอาชีวะ อาชีพถูกต้อง
6) สัมมาวายามะ พยายามถูกต้อง
7) สัมมาสติ
8) สัมมาสมาธิ
ระลึกถูกต้อง
ความตั้งใจไว้ถูกต้อง
พระพุทธองค์ตรัสกับสุภัททะว่า “อริยมรรคมีองค์ 8 มีแต่ในพระธรรมวินัยนี้ สมณะ 4 คู่ 8
ประเภท ก็มีแต่ในพระธรรมวินัยนี้เท่านั้น ไม่สามารถหาได้ในลัทธิอื่น” 2 สมณะ 4 คู่ 8 ประเภท มีดัง
ต่อไปนี้
นิพเพธิกสูตร, อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต, มก. เล่ม 36 ข้อ 334 หน้า 771
มหาปรินิพพานสูตร, ทีฆนิกาย มหาวรรค, มก. เล่ม 13 ข้อ 138 หน้า 317
บ ท ที่ 1 ค ว า ม
ามรู้เ
รู้เบื้อ อ ง ต้ น เ รื่ อ ง ก า แ ห่ ง ก ร ร ม DOU 27