ข้อความต้นฉบับในหน้า
สมณะคู่ที่ 1 คือ พระอริยบุคคลประเภทโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
สมณะคู่ที่ 2 คือ พระอริยบุคคลประเภทสกทาคามิมรรค สกทาคามิผล
สมณะคู่ที่ 3 คือ พระอริยบุคคลประเภทอนาคามิมรรค อนาคามิผล
สมณะคู่ที่ 4 คือ พระอริยบุคคลประเภทอรหัตตมรรค อรหัตตผล
การปฏิบัติตามอริยมรรค ทำให้บุคคลสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ พระ
อริยบุคคลคือผู้ที่สามารกำจัดกิเลสตั้งแต่ระดับเบาบางจนกระทั่งหมดสิ้น เมื่อบรรลุโสดาบัน กรรมกิเลสจะ
ถูกขัดเกลาจนเบาบางทำให้กลับมาเกิดอีกเพียงชาติเดียวหรือเจ็ดชาติ เมื่อบรรลุสกทาคามี กรรมกิเลสจะ
ถูกขัดเกลาจนเบาบางทำให้กลับมาเกิดอีกเพียงชาติเดียว เมื่อบรรลุอนาคามี กรรมกิเลสถูกขัดเกลาจน
เหลือน้อยมากสามารถนิพพานได้ที่พรหมโลก เมื่อบรรลุอรหัตตผล กรรมกิเลสทั้งปวงถูกดับจนสิ้นเชื้อไม่
เหลือเศษเพราะต้นเหตุที่ทำให้เกิดกรรมถูกดับไปเสียแล้วจึงไม่มีเหตุอันใดจะครอบงำให้สร้างกรรมได้อีกต่อไป
และจะไม่กลับหวนมาสู่การเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป จากการสังเกตทำให้ทราบว่า ความเบาบางของ
กรรมจะเป็นไปตามภูมิธรรมของพระอริยบุคคลประเภทต่างๆ จนสุดท้ายหมดสิ้น และผู้ที่จะดับกรรมจน
บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้นั้นคือ ผู้ที่ได้อัตภาพมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา แม้เทวดาที่สามารถ
บรรลุธรรมได้นั้นก็มีน้อยเพราะยังข้องอยู่ในสุขอันเป็นทิพย์ยังไม่เห็นทุกข์ จะกล่าวไปใยกับเหล่าสัตว์ใน
อบายภูมิที่มีเสวยทุกข์ทรมานจนไม่มีเวลาว่างเว้นจะคิดทำความดี
1.3 แนวคิดเรื่องกฎแห่งกรรมของลัทธิความเชื่อต่างๆ
เป็นความจริงอย่างหนึ่งที่ว่าต่างคนต่างความคิด ต่างคนต่างมีทิฏฐิความเชื่อเป็นของตนที่คิดคล้ายๆ
กันก็คบหาสมาคมกัน ที่คิดต่างกันก็แยกย้ายต่างคนต่างไป เพราะหมู่สัตว์คบหากันโดยธาตุ ขาดความ
ทัดเทียมสมดุลทางด้านความคิดเห็น และความประพฤติในศีลธรรม ซึ่งก็เป็นอยู่เช่นนี้เสมอมาทุกยุคทุกสมัย
แม้ในสมัยพุทธกาลก็เป็นเช่นนี้ มีทัศนะความเชื่อแตกต่างกันมากมาย ทิฏฐิของบางลัทธิก็ดี บางลัทธิก็ดูไร้
เหตุผล ซึ่งพระองค์ตรัสรับรองทิฏฐิบางอย่างว่าดีก็มี ตรัสคัดค้านก็มี และความเห็นผิดที่แสดงออกมา
อย่างชัดเจน ขัดแย้งกับเรื่องของกฎแห่งกรรมมีอยู่ 10 ประการ คือ
1) ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
2) การสงเคราะห์เกื้อกูลไม่มีผล
3) การบูชาบุคคลที่ควรบูชาไม่มีผล
4) ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
5) โลกนี้ไม่มี
6) โลกหน้าไม่มี
28 DOU กฎ แ ห่ ง ก ร ร ม