กรรมและเจตนาในพระพุทธศาสนา GL 203 กฎแห่งกรรม หน้า 28
หน้าที่ 28 / 214

สรุปเนื้อหา

บทความนี้อภิปรายเกี่ยวกับความหมายของกรรมในพระพุทธศาสนา โดยรวบรวมการกระทำที่มีเจตนา แบ่งกรรมออกเป็น 2 ประเภทคือ กุศลกรรมและอุกุศลกรรม กุศลกรรมหมายถึงกรรมดีที่ทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ประกอบไปด้วยกรรมทางกาย วิชา และใจ รวมถึงการงดเว้นการทำบาปต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อจิตใจและสิ่งรอบข้าง เราสามารถเห็นความสำคัญของกรรมในชีวิตประจำวัน ผ่านการกระทำในแต่ละวันซึ่งส่งผลต่อบุญและบาป

หัวข้อประเด็น

-ความหมายของกรรม
-ประเภทของกรรม
-กรรมทางกาย
-กรรมทางวาจา
-กุศลกรรมและอุกุศลกรรม

ข้อความต้นฉบับในหน้า

เจตนาคือความจงใจ ฉะนั้นความหมายของคำว่า กรรม โดยสมบูรณ์ แปลว่า การกระทำโดยเจตนาคือ จงใจกระทำ การกระทำแบ่งออกเป็น 3 ทาง ได้แก่ การกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ ทุกอย่างที่ เกิดจากความจงใจของผู้กระทำถือว่าเป็นกรรมทั้งสิ้น ซึ่งแบ่งกรรมออกเป็น 2 ฝ่าย คือ 1. กุศลกรรม หมายถึง กรรมฝ่ายดี เป็นการกระทำที่ดีงาม เกิดบุญกุศล ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ไม่ทำให้จิตโศกเศร้า หรืออาจเรียกว่า กุศลเจตนา เพราะตั้งใจทำดี ทางที่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่จัดเป็นกรรมดี หรือที่เรียกว่า กุศลกรรมบถ 10 ประการ สามารถแบ่งออกตามทวารที่เกิดขึ้นทางกาย ทางวาจา และทางใจ ได้ดังนี้ กายกรรม หรือกายทวาร หมายถึง กรรมดีทางกาย เมื่อการกระทำทางกายดีจึงเรียกว่า กายสุจริต มี 3 ประการ คือ 1. ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ที่ยังมีชีวิต 2. อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการลักขโมยของที่ผู้อื่นไม่ให้ 3. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม วจีกรรม หรือวจีทวาร หมายถึง กรรมดีทางวาจาที่ได้รับการไตร่ตรองด้วยปัญญา เมื่อการกระทำ ทางวาจาดีจึงเรียกว่า วจีสุจริต มี 4 ประการ คือ 1. มุสาวาทา เวรมณี งดเว้นจากการพูดเท็จ คือ พูดโกหก หลอกลวง ต้มตุ๋น เป็นต้น 2. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี งดเว้นจากการพูดส่อเสียด คือ คำพูดทำให้สูญเสียความเป็นที่รักใคร่ ปรองดองกัน เช่น ยุยงให้แตกแยก เหน็บแนม กระทบกระเทียบเสียดแทง คำสบประมาท พูดลับหลัง เป็นต้น เหล่านี้เป็นคำพูดทำให้เกิดทิฏฐิมานะชิงดีชิงเด่น มุ่งเอาชนะกันและกัน 3. ผรุสาย วาจาย เวรมณี งดเว้นจากการพูดคำหยาบคาย คือ พูดคำชนิดที่ค่อนขอด คำหยาบ คาย คำเผ็ดร้อน คำเหน็บแนมให้เจ็บใจ เหล่านี้ทำให้ผู้อื่นโกรธเคืองไม่ทำให้จิตตั้งมั่น 4. สัมผัปปลาปา เวรมณี งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คือ ชอบพูดไม่ถูกเวลา ชอบพูดหยอกล้อ ชอบพูดไร้ประโยชน์ ชอบพูดไม่เป็นธรรม ชอบพูดไม่เป็นวินัย เป็นผู้พูดไม่มีหลักฐาน ไม่เป็นเวลา ไม่มีที่อ้างอิง ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ นิพเพธิกสูตร, อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต, มก. เล่ม 36 ข้อ 334 หน้า 771 สาเลยยกสูตร, มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์, มก. เล่ม 19 ข้อ 484 หน้า 247 18 DOU ก ฏ แ ห่ ง ก ร ร ม
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More