ข้อความต้นฉบับในหน้า
มัว เพราะถ้าเกิดการโต้ตอบกันและกันจะทำให้เกิดผูกเวรต่อกัน คือ เอาตัวเองเข้าไปผูกกับเรื่องร้ายๆ นั้น
เมื่อเวียนว่ายตายเกิดมาบรรจบกันเวรที่ผูกไว้ก็ออกฤทธิ์ทำให้เกิดการอาฆาตพยาบาทสร้างกรรมชั่วกันต่อ
ไปไม่รู้จบ
1.2) กรณีถูกยั่วเย้าจากสิ่งเร้าภายนอก คือ อบายมุขต่างๆ นานา หลากหลายรูปแบบ
ผลิตภัณฑ์ที่ทำออกมายั่วเย้าให้คนอยากเสพอยากลอง ถ้ามีหิริโอตตัปปะก็จะห้ามใจตนเองได้เพราะรู้ว่าไม่
ดีมีโทษทั้งชาตินี้ชาติหน้า
2) ทำให้เกิดกำลังใจในการสร้างบุญกุศล เพราะทราบแล้วว่าชีวิตหลังความตายมีอยู่ และ
มี 2 แบบ คือ แบบสุคติ กับแบบทุคติ จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะประกอบกุศลกรรมเบื้องต้นเพื่อนำพา
ตนเองไปสุคติภูมิ เบื้องสูงคือบรรลุมรรคผลนิพพานพ้นจากอำนาจการควบคุมของกิเลสอาสวะ หลุดพ้น
จากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
เพราะฉะนั้น จากการศึกษาทำให้นักศึกษาทราบว่า การเกิดแบบโอปปาติกะนี้เป็นได้เฉพาะกาย
ละเอียด มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถรู้เห็นกระบวนการไปเกิดมาเกิดได้ จึงมีอิทธิพลส่งผลต่อความเชื่อเรื่อง
โลกนี้โลกหน้า เรื่องกฎแห่งกรรมอย่างยิ่ง จะผิดจะพลาดก็อยู่ที่ตรงนี้ และเมื่อมีความรู้เรื่องโอปปาติกะแล้ว
จะทำให้ไม่เกิดความประมาทพลั้งเผลอในการดำรงชีวิต เพราะมีจิตใจใฝ่ดีถึงแม้จะมีอุปสรรคก็ไม่ย่อท้อ ไม่
ยอมเสี่ยงกับการเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อให้ตนเองสบาย จะพยายามฝ่าฟันอุปสรรคนั้นๆ และละเว้นความชั่ว
ทั้งปวง โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ด้วยเหตุนี้จะทำให้เราตักเตือนสั่งสอนตนเองและแนะนำผู้อื่นได้ว่า ความ
ชั่วแม้เพียงน้อยก็จะไม่ทำ แต่ความดีแม้เพียงน้อยก็จะทำให้เต็มที่เต็มกำลังสุดความสามารถ นี้จัดเป็น
สัมมาทิฏฐิข้อที่ 9 โอปปาติกะหรือสัตว์ผุดเกิดขึ้นมี หมายความว่า เชื่อในเรื่องการทำความดีความชั่วมีผล
ทำให้บังเกิดในนรกสวรรค์ซึ่งเป็นภพภูมิที่อยู่ของพวกโอปปาติกะ
10. สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ผู้รู้แจ้งเรื่องโลกนี้โลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามมีอยู่ คือ วิถีหนทางปฏิบัติสู่การบรรลุธรรมมีอยู่ ผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์จึงมีอยู่
เพราะตราบใดที่ยังมีผู้มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 เมื่อนั้นโลกจะไม่สิ้นจาก
พระอรหันต์ ผู้ที่จะมีปัญญารู้แจ้งโลกนี้โลกหน้านั้นแยกเป็น 2 นัย ดังนี้
นัยที่ 1 คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นัยที่ 2 คือ พระอรหันตสาวก
จากการศึกษาพบว่า เหตุที่ตรัสทิฏฐิข้อนี้ก็เพราะประสงค์ชี้ให้เห็นว่า บุคคลที่รู้แจ้งโลกนี้โลกหน้า
มีอยู่จริง ไม่ใช่มีแต่นักคิดนักวิจารณ์ บุคคลที่จะรู้แจ้งจะต้องเป็นสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแบบ
ทุ่มเทชีวิตจิตใจทำอย่างจริงจัง มีอัธยาศัยในการสั่งสอนแนะนำ และความรู้แจ้งนี้ไม่ผูกขาดเฉพาะใคร
คนใดคนหนึ่ง แต่มนุษย์ทุกคนมีความสามารถและมีศักยภาพที่จะทำได้ ซึ่งจะต้องประกอบด้วยความเพียร
บทที่ 8 บ ท ส รุ ป ส า ร ะ สำ คั ญ กฎ แ ห่ ง ก ร ร ม เชิงสัมพันธ์ DOU 185