ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระสุภัสสร ปภาสโร
เราสามารถรู้ได้ว่าร่างกายของคนอื่นก็เป็นปฏิกูลด้วยเหมือนของเรา ด้วยการ
1. พิจารณาจากความสกปรกที่สามารถสังเกตได้จากภายนอก หรือสิ่งสกปรกที่ออก
มาจากร่างกายอันไม่งาม มีครูดิน ธาตูน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟประกอบกันขึ้น ทำให้สังเกตเห็น
ถึงน้ำเลือด น้ำหนอง น้ำเหลือง ขี้ผึ้งต่างๆ เหงื่อไคล ปัสสาวะ อุจจาระ กลิ่นตัว
2.พิจารณาจากความเจ็บป่วยไข้ของคนอื่นว่าร่างกายนี้เป็นร่างแห่งโรค มีสิ่งปฏิกูล
หมักหมมอยู่ภายใน
3.พิจารณาจากความแก่ชราของคนอื่นว่าความเสื่อมของสังขารนี้มีอยู่
4.พิจารณาจากความตายของคนอื่นว่าร่างกายนี้เมื่อเป็นของปฏิกูล ย่อมไม่เที่ยง
ชนิดา จันทาราศรีโสล
ลูกคิดว่าความจริงเราทราบอยู่แล้วเจ้าค่ะว่าร่างกายของทุกคนส่วนเป็นปฏิกูล
เหมือนในของเรา แต่ในบางครั้งความรู้กล่าวว่าถูกบงกันกลิ่นด้วยความสำคัญผิด
ในกายเหล่านั้นว่าเป็นเขา เป็นเรา ของเขา ของเรา หรือด้วยความคิดด้านาม ซึ่งเป็นความ
เข้าใจผิดที่เกิดจากอวิชชาและโกสัสที่ยังมีอยู่ในใจเราเอง พูดง่ายๆ คือในเวลานั้นตัวเราเอง
ยอมให้ “ความสำคัญผิด” มานำหน้า “ความรู้” ด้วยเหตุผลนานับการ เช่น กำกำเริบ
เป็นต้น ดังนั้นแม้จริงทำเป็นไม่รู้ และเมื่อปล่อยให้เป็นอย่างนั้นนานเข้าทีเลยกลายเป็นนิสัย
และเป็นอัตโนมัติว่า “ไม่รู้” ทั้งๆ ที่ความจริงรู้ทั้งรู้อยู่ลึกๆ
ส่วนวิธีการที่จะดึงเอาความรู้หรือสำนึกด้านกล่าวกลับมานำหน้าได้จนมีหลายวิธี ซึ่ง
วิธีที่ง่ายที่สุดคือความปฏิกูลของกายเราเอง เช่น การที่เราต้องทำความสะอาดร่างกายก็
เพราะสิ่งปฏิกูลที่ออกมาเรื่อยๆ ทั้งเหลือโคล ควันดำ ต่างๆ ที่ร่างกายขับออกมา หรือเวลาชัก
เสื้อผ้าเราก็ข่มเห็นความสกปรกที่ออกมาจากกายเรา หรือการที่เราต้องเช็ดน้ำมูก น้ำตา
ต้องเปร่งฟันตอนเช้า นอนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับประทานอาหารเพื่อกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์
ของน้ำลายที่หลังออกมาและตกค้างอยู่ในปากตลอดคืน เป็นต้น กายเรานั้นใด กายคน
อื่นก็ฉันนั้น มองอย่างนี้แล้วเราจะทราบชัดเจนว่ากายของคนอื่นก็เป็นปฏิกูลเหมือนกายของ
เราเจ้าค่ะ หรือเราอาจนิภาพเล่นๆ ว่าคนที่เรามองเห็นว่าสวย ว่าหล่อนั้น กำลังแค่ชื่นชม
หรือดมกลิ่น น้ำลาย หรือกำลังแปรงฟัน เพียงเท่านั้นความสวยความหล่อก็จะไม่เหลือเลย