ข้อความต้นฉบับในหน้า
ร่างกายที่เราเกิดความรู้ว่า “เป็นปฏิกูล” นั้น เราคิดเอง หรือว่าจริงๆ ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
พระครูวินัยธรรมที่ นุนทุกโถ
ร่างกายที่เราเกิดความรู้สว่า “เป็นปฏิกูล” นั้นเราไม่คิดเอง จริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น เพราะว่าเมื่อเราพิจารณาดูร่างกายของเราจะพบความจริงว่า
1. ร่างกาย เมืองคลประกอบภายนอกที่เราเห็นเป็นรูปธรรมได้ เช่น ผม ซึ่งหาหล่อให้ยาว รถรุงรัง เมื่อเหม่อไคล หากไม่ได้ทำความสะอาดก็จะสะสมความสกปรกหมกหมมเหนียวเหนอะหนะ อาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์เป็นที่รำคาญ ขนก็เช่นเดียวกับผม เล็บหากไม่ได้ตัดหรือไม่ได้ทำความสะอาด ก็จะสะสมความสกปรกที่เรียกว่าดีล ฟันหากไม่ได้แปรงหรือแปรงไม่ดีพอที่จะเกิดการสะสมเศษอาหารต่างๆ ติดตามฝ้น ซอกฟัน เป็นคราบ ดูไม่สะอาด เป็นที่น่ารังเกียจ และผิวหนังที่เช่นกัน ถ้าหากไม่ได้ทำความสะอาดก็จะเกิดความสกปรกอันเกิดจากเหงื่อไคลและฝุ่นละอองต่างๆ หมักหมมไม่สวยงาม ไม่ณูดู อาจมีกลิ่นไม่เป็นที่พึงประสงค์เป็นที่รังเกียจแกบุคคลผู้พบเห็นหรืออยู่ใกล้
2. อวัยวะภายในนั้นประกอบไปด้วยปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ กระเพาะอาหาร ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ เลือด ไข กรีซ เป็นต้น เปรียบเสมือนถุงหนูหรือหุ้มผิว ซึ่งมึอันเป็นสะอาด อาจจาจะที่จะต้องขับถ่ายออกมา เป็นของเสียร่างกายไม่ต้องการแล้ว อาหารทั้งเก่าและใหม่ทั้งพิษและสัตว์ที่สะสมอยู่ในกระเพาะและลำไส้เป็นเสมือนสุขานฝังกคสัตว์ต่างๆ มีฐานที่กล่าวถึงคืออาหารปฏิกูลสัญญา เพื่อพิจารณาอาหารเป็นเพียงสักว่่าเป็นธาตุซึ่งล้านเป็นปฏิกูล ไม่สะอาด ไม่เป็นที่น่าพึงประสงค์ ดังนั้นเราจึงได้สรุปด้วยตัวของเราเองว่าร่างกายเป็นปฏิกูลที่เราสามารถเห็นเป็นรูปธรรมได้ด้วยตัวของเราเอง และเป็นเช่นนั้นจริงๆ โดยที่เราไม่ได้คิดเอง
พระมหาเอก จนภูโม่
ร่างกายนี้สู้รู้สึกและตระหนักว่าเป็นปฏิกูลจริงๆ ทุกเช้เมื่อดื่นขึ้นมาลูกต้องล้างขัดถูเปร่งฟันก่อนจึงจะพบปะพูดได้ ต้องขับถ่ายหนัก เบา ทุกวัน เพื่อให้กายเบาสบายอาหารแม้อร่อยประดิษฐ์ แค่ไหน เมื่อผ่านปากผ่านลิ้นเข้าไป อีกวันก็กลายเป็นของปฏิกูลออกมา ร่างกายนี้เป็นเหมือนหนังสือห่อหุ้มแต่ของสกปรกตลอดเวลา ชำรางหนังสี่ยังรั่วมีเหรอใครไหลออกมารึเปล่า วันใดหาไม่ได้สรงน้ำแม้่งก็จะนอนไม่ลง เพราะสกปรกเนื้อ
ตัว
สรุปแล้วลูกเห็นว่ายน้าว่าในคุณธรรมความดีที่เราทำแล้ว ทุกอย่างในร่างกายเราล้วนสกปรก เป็นปฏิกูลทั้งสิ้น