ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมะเพื่อประชา
เนมิราชชาดก บำเพ็ญอธิษฐานบารมี (๓)
๔๓๔
กว่ากัน” ท้าวสักกะทรงทราบวิบากแห่งพรหมจรรย์จึงตรัสตอบว่า
“บุคคลย่อมบังเกิดในขัตติยสกุล เพราะประพฤติพรหมจรรย์
อย่างต่ำ บุคคลได้เป็นเทพเจ้า เพราะประพฤติพรหมจรรย์
ปานกลาง บุคคลย่อมหมดจดวิเศษเพราะประพฤติพรหมจรรย์
อันสูงสุด หมู่พรหมเหล่านั้นอันใครๆ จะพึงได้เป็นด้วยการ
ประพฤติวิงวอนก็หาไม่ แต่ต้องเป็นผู้ไม่มีเรือนบำเพ็ญตบะธรรมคือ
พรหมวิหารธรรม จึงจะได้บังเกิดในพรหมโลก”
หลวงพ่อขออธิบายขยายความถ้อยคำของท้าวสักกะ
เพิ่มเติมว่า ท่านกล่าวถึงพรหมจรรย์ระดับต่างๆ ซึ่งส่งผลให้
ผู้ปฏิบัติได้รับตำาแหน่งหรือบังเกิดในสถานที่ซึ่งแตกต่างกันนั้น มี
ความหมายลึกซึ้งหรือกินความกว้างเพียงไร คำว่า พรหมจรรย์
อย่างต่ำา หมายถึงการรักษาศีลที่เรียกว่าเมถุนวิรัติ คือ เว้นจาก
การล่วงละเมิดในกามนั่นเอง ผู้บำเพ็ญหากปรารถนา ย่อม
สามารถไปบังเกิดในขัตติยสกุลได้
การได้อุปจารฌาน คือ ทำใจให้เป็นสมาธิอยู่ภายใน
ด้วยใจที่ปลอดโปร่งจากนิวรณธรรมทั้งปวง ชื่อว่า พรหมจรรย์
อย่างกลาง ผู้บำเพ็ญหากปรารถนาย่อมไปเกิดเป็นเทวดา ต่อมา
เมื่อฝึกสมาธิจนใจหยุดใจนิ่งหนักเข้า จนสามารถทำสมาบัติ ๘
ให้เกิดขึ้นได้ ชื่อว่า พรหมจรรย์ขั้นสูง ผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์ขั้นนี้