ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมะเพื่อประช
เนมิราชชาดก บำเพ็ญอธิษฐานบารมี (๓)
๔๓๕
หากปรารถนาไปเกิดในพรหมโลก เมื่อสิ้นอายุขัยย่อมได้ไป
บังเกิดในพรหมโลกอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพียงพรหมจรรย์ขั้นสูง
ของนักบวชในยุคสมัยนั้น
สำหรับยุคสมัยของเราซึ่งมีพระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้น
ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ รักษาศีลไม่ให้ด่างพร้อย ถ้ายังปรารถนา
เทพนิกายอย่างใดอย่างหนึ่ง พรหมจรรย์ของท่านก็ยังชื่อว่าเป็น
พรหมจรรย์ขั้นต่ำา เมื่อละสังขารไปแล้ว ย่อมสามารถไปบังเกิด
ในเทวโลกตามที่ปรารถนาได้ ส่วนการที่ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์
สามารถยังสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดขึ้น ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างกลาง
ครั้นละสังขาร ย่อมไปบังเกิดในพรหมโลกได้ถ้าปรารถนา
สำหรับภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ เจริญวิปัสสนาถึงขั้นทำอาสวกิเลส
ให้หมดสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ สําเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ถึงฝั่ง
ผู้นั้นท่านเรียกว่า บรรลุพรหมจรรย์ขั้นสูงสุดอย่างแท้จริง
ท้าวสักกเทวราชตรัสสรรเสริญว่า “ดูก่อนมหาราช การ
ประพฤติพรหมจรรย์เป็นคุณมีผลมากกว่าทานหลายเท่านักสุด
จะเปรียบได้” และเนื่องจากท้าวสักกะทรงรู้คติของผู้ที่เคย
ทําบุญกุศลไว้มากๆ ว่าไปบังเกิดที่ไหนกันบ้าง พระองค์จึงตรัส
ยกตัวอย่างว่า “ดูก่อนมหาราช พระราชาพระนามว่า ทุทีปราช
ณ กรุงพาราณสีในกาลก่อน ทรงบริจาคทานเป็นอันมาก