ข้อความต้นฉบับในหน้า
3) ต้องมีหิริและโอตตัปปะ
หิริ คือ ความละอายต่อบาป แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น ก็ไม่ยอมทำบาป
โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อบาป กลัวต่อผลของบาปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
คือ มีความละอายและความเกรงกลัวต่อการทำกรรมชั่วทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นทางกายวาจา
และใจ แม้จะถูกข่มขู่ หรือถูกความทุกข์ ความจน ความเจ็บ ใดๆ บีบคั้นอยู่ก็ตามก็ไม่ยอม
ละเมิดไปทำผิดศีลแม้แต่น้อย
4) ต้องรู้จักวิธีรักษาศีล
การจะรักษาศีลให้ได้ตลอดชีวิตไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่ทำได้ และมีผู้ที่
ทำได้มากมาย โดยผู้ที่จะรักษาศีลต้องเห็นความสำคัญของศีล รู้ว่าศีลเป็นปกติของมนุษย์ คน
ผิดศีล คือ คนผิดปกติ ต้องละเว้นการเข้าไปในแหล่งอบายมุข หรือสถานที่ ๆ นำไปสู่การผิดศีล
ไม่คบหากับคนที่นำไปสู่การผิดศีล
และที่สำคัญคือต้องตอกย้ำความคิดที่จะรักษาศีลให้มั่นคงตลอดชีวิตทุกวัน เช่น ก่อน
ออกจากบ้าน ให้นำพระของขวัญที่เคารพนับถือที่แขวนคออยู่มาระลึกนึกถึงแล้วสมาทานศีล 5
โดยว่าดังนี้
“ปาณาติปาตา เวระมณี
ข้าพเจ้าจะไม่ฆ่า
อะทินนาทานา เวระมณี
ข้าพเจ้าจะไม่ลัก
กาเมสุมิจฉาจารา เวระมณี
ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติล่วงในกาม
ข้าพเจ้าจะไม่หลอกลวง
ข้าพเจ้าจะไม่เสพของมึนเมาให้โทษ”
มุสาวาทา เวระมณี
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานะ
เมื่อได้ตั้งใจเช่นนี้แล้ว ก็ให้รักษาไว้อย่างดีให้ข้ามวันข้ามคืน เมื่อทำอย่างนี้ทุกวัน ย่อม
สามารถรักษาศีลได้ตลอดชีวิต
5) ต้องเห็นคุณประโยชน์ของการรักษาศีล
อานิสงส์ของการรักษาศีล โดยย่อมี 3 ประการ
1. ศีลทำให้ไปสู่สุคติ คือ มีอนาคตเจริญก้าวหน้า มีชื่อเสียง เป็นที่ยกย่อง เคารพ
นับถือ ไว้วางใจจากคนทั่วไป ครั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ย่อมไปดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก คือ ไปเกิดบนสวรรค์
94 DOU สูตรสำเร็จ การพัฒนาองค์กร และเศรษฐกิจ