ข้อความต้นฉบับในหน้า
4) ต้องไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ คือไม่เห็นแก่ชื่อเสียง คำสรรเสริญเยินยอ
ลาภสักการะ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าการเล่าธรรมะนั้นจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ จะมีคนฟังมากน้อย
เท่าไหร่ก็ไม่ถือเป็นอารมณ์ เล่าธรรมะอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ว่าบ้านของคนใหญ่โตก็เล่าอย่างเต็มที่
แต่บ้านของคนกระจอกงอกง่อยก็เล่าธรรมะกะล่อมกะแล่มไม่เป็นเรื่องเป็นราวต้องไม่ใช่อย่างนั้น
ถ้าผู้ใดเล่าธรรมะเพราะเห็นแก่ลาภ ผู้นั้นก็เป็นเพียงลูกจ้างของคนฟัง ที่พูดด้วยน้ำเสียงประจบ
ประแจงเจ้าของบ้านซึ่งเป็นนายจ้าง ธรรมะข้อนั้นก็จะถูกปรุงแต่งบิดเบือนจนเสียหาย ไม่ตรง
ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อผู้พูด ผู้ฟัง และพระพุทธศาสนา
5) ต้องไม่แสดงธรรมกระทบตนเองหรือผู้อื่น คือไม่ฉวยโอกาสยกตัวอย่างความ
ดีของตนเองเพื่อโอ้อวด หรือยกความผิดพลาดของคนอื่นเป็นตัวอย่างเพื่อประจานความผิดของ
เขา ไม่ใช่ถือว่ามีไมโครโฟนอยู่ในมือ ก็คุยอวดตัวทับถมคนอื่นเรื่อยไป ผู้พูดต้องมุ่งอธิบาย
ธรรมะจริง ๆ หากจะยกตัวอย่างเรื่องใดประกอบ เพื่อเป็นข้อสนับสนุนให้ผู้ฟังเข้าใจข้อธรรมะที่
แสดง ก็ต้องระวังไม่ให้ผู้อื่นเสียหาย การฉวยโอกาสเวลาแสดงธรรมใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น เป็นการ
กระทำผิดหลักธรรมคำสอนของศาสนาพุทธ
เราจะเห็นได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางวิธีการเผยแผ่ศาสนาของพระองค์
ไว้อย่างรอบคอบ แทนที่จะมุ่งแต่แผ่อิทธิพลศาสนาของพระองค์และทับถมโจมตีศาสนาอื่น กลับ
ทรงวางคุณสมบัติควบคุมผู้ทำการสอนพระพุทธศาสนาไว้อย่างรัดกุมซึ่งหาได้ยากในศาสนาอื่นๆ
4.3) การจูงใจผู้ฟัง
นอกจากการเล่าธรรมะด้วยความบริสุทธิ์ใจให้ถูกต้องทั้งเนื้อหา การนำเสนอ เวลา
และอารมณ์ผู้ฟังแล้ว ยังต้องมีวิธีพูดจูงใจให้อยากทำตามด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน
ให้รู้จักจูงใจคนฟังด้วยลีลาที่น่าฟังไว้ 4 ประการดังนี้ คือ
1) สันทัสสนา คือ การพูดให้แจ่มแจ้งชัดเจน ไม่ใช่การพูดมาก หรือพูดยาวๆ แต่
หมายความว่า หาวิธีพูดจาให้คนฟังเข้าใจเรื่องที่พูดนั้นชัด ๆ ให้เห็นจริงตามที่ผู้พูดเสนอ การที่
จะทำได้อย่างนี้ ผู้พูดต้องใช้ความคิด มีการเตรียมการอย่างดีว่าพูดวิธีใด หรือใช้มาตรการใดใน
4 อย่างต่อไปนี้ คือ
1. ขยายความ
2. อุปมาอุปไมย
3. ยกอุทาหรณ์
4. ใช้อุปกรณ์ เช่น รูปภาพ, แผนภาพ เป็นต้น
บทที่ 4 จั ก ร ธรรม หลักการพัฒนาตนเอง และฐานะทางเศรษฐกิจ... DOU 149