ข้อความต้นฉบับในหน้า
1) ต้องเป็นคำจริง คือคำพูดที่ใช้นั้นต้องเป็นคำพูดที่ไม่คลาดเคลื่อนจากความ
เป็นจริง ไม่ใช่คำพูดที่ปั้นแต่งขึ้น ไม่บิดเบือนความจริง ไม่เสริมความ ไม่อำความ ทำให้ผู้ฟัง
เข้าใจผิด
2) ต้องเป็นคำสุภาพ คือคำพูดที่ใช้นั้นต้องเป็นคำพูดไพเราะที่กลั่นออกมาจาก
น้ำใจที่บริสุทธิ์ ไม่เป็นคำหยาบ คำด่า คำประชดประชัน คำเสียดสี คำหยาบนั้นฟังก็ระคายหู แค่
คิดถึงก็ระคายใจ ทำให้ผู้ฟังไม่สบายใจที่จะฟัง
3) พูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ คือ คำพูดที่ใช้ต้องก่อให้เกิดผลดีทั้งแก่คนพูด
และคนฟัง ถึงแม้คำพูดนั้นจะจริงและเป็นคำสุภาพ แต่ถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร กลับจะ
ทำให้เกิดโทษ ก็ไม่ควรพูด ก่อนจะพูดอะไรออกไป จึงต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสียที่ตามมาเสมอ
มิฉะนั้น หากมาตามแก้ทีหลัง จะกลายเป็นเสียกับเสีย
4) พูดด้วยจิตเมตตา คือ คำพูดที่ใช้ต้องออกมาจากใจที่มีความปรารถนาดี อยาก
ให้คนฟังมีความสุข มีความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ในข้อนี้หมายถึงว่า แม้จะพูดจริง เป็นคำสุภาพ พูด
แล้วเกิดประโยชน์ แต่ถ้าจิตยังคิดโกรธมีความริษยาก็ยังไม่สมควรพูด เพราะผู้ฟังอาจจะรับไม่ได้
แล้วจะกลายเป็นเสียไมตรีกัน
5) พูดถูกกาลเทศะ คือ แม้คำพูดที่ใช้ จะเป็นคำพูดที่ดี เป็นคำจริง เป็นคำสุภาพ
เป็นคำพูดที่มีประโยชน์ และพูดด้วยจิตที่เมตตา แต่ถ้าผิดจังหวะ ไม่ถูกกาลเทศะ ผู้ฟังยังไม่พร้อม
ที่จะรับแล้ว จะก่อให้เกิดผลเสียหายได้ เช่น จะกลายเป็นประจานกันหรือจับผิดไป
พูดถูกเวลา (กาล) คือรู้เวลาไหนควรพูด เวลาไหนยังไม่ควรพูด ควรพูดนาน
เท่าไหร่ ต้องคาดผลที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย
- พูดถูกสถานที่ (เทศะ) คือรู้ว่าในสถานที่เช่นไร เหตุการณ์แวดล้อมเช่นไรจึง
สมควรที่จะพูด หากพูดออกไปแล้วจะมีผลดีหรือผลเสียอย่างไร เช่น มีความหวังดีอยากเตือน
เพื่อนไม่ให้ดื่มเหล้า แต่ไปเตือนขณะที่เพื่อนกำลังเมาอยู่ในหมู่เพื่อนฝูง ทำเขาเสียหน้าอย่างนี้
นอกจากเขาจะไม่ฟังแล้ว เราเองอาจเจ็บตัวได้
การฝึกฝนให้คำพูดของตนเองมีเนื้อหาครบองค์ประกอบวาจาสุภาษิตได้ จำเป็น
ต้องฝึกฝนการใช้ภาษาให้ดี เริ่มจากการเลือกหนังสือที่ดีมีประโยชน์มาอ่าน การฝึกย่อความให้
กระชับ ฝึกการเรียบเรียงความรู้ให้เข้าใจง่าย เมื่อทำแบบนี้บ่อย ๆ สำนวนภาษาของเราก็จะ
กลายเป็นคำพูดที่มีความสุภาพไปในตัว ครั้นเมื่อถึงคราวจะต้องพูดธรรมะให้ใครฟัง ก็จะรู้ว่ามี
บทที่ 4 จั ก ร ธ ร ร ม ห ลั ก การพัฒนาตนเอง และฐานะทางเศรษฐกิจ... DOU 147