ความสำคัญของประวัติศาสตร์ GB 405 ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา หน้า 14
หน้าที่ 14 / 249

สรุปเนื้อหา

รศ.นันทนา กปิลกาญจน์ กล่าวถึงประวัติศาสตร์ว่าเป็นศาสตร์ที่ศึกษาอดีตอย่างเป็นระบบและมีความสำคัญในทุกสาขาวิชา โดยเฉพาะในนิติศาสตร์และแพทยศาสตร์ที่ต้องอิงประวัติศาสตร์ในการพิจารณาคดีและการรักษาโรค ประวัติศาสตร์ไม่ได้จำกัดเฉพาะสิ่งที่บันทึกไว้ แต่ยังรวมถึงเหตุการณ์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกออกมา ประวัติศาสตร์มีความหมายสองลักษณะ: เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตและการเรียบเรียงหลักฐานโดยนักประวัติศาสตร์ การสร้างประวัติศาสตร์จึงอาจเกิดจากผู้คนที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นใครก็ได้ ความซับซ้อนนี้ทำให้ได้แค่บางส่วนของอดีตที่สามารถบอกเล่าได้อย่างถูกต้องและสำคัญแต่ไม่สามารถจำลองอดีตทั้งหมดได้

หัวข้อประเด็น

-ความสำคัญของประวัติศาสตร์
-การศึกษาในประวัติศาสตร์
-ประวัติศาสตร์กับศาสตร์อื่น ๆ
-การสร้างและวิเคราะห์หลักฐานทางประวัติศาสตร์

ข้อความต้นฉบับในหน้า

รศ.นันทนา กปิลกาญจน์ กล่าวไว้ว่า “ประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาอดีตอย่าง เป็นระบบ ครอบคลุมและแทรกซึมอยู่ในทุกสาขาวิชา จะไม่มีวิชาใดที่มีลักษณะเป็นวิชาขึ้นได้ โดยไม่อาศัยประวัติศาสตร์เลย ในทางนิติศาสตร์ก็ต้องศึกษาถึงอดีตและการตัดสินคดีในอดีต ในทางแพทย์ศาสตร์ก็ต้องศึกษาถึงลักษณะอาการของโรคและวิธีการรักษาจากอดีต เราต้องมี วิชาประวัติปรัชญา ประวัติสังคมวิทยา ประวัติการเกษตร เป็นต้น วิชาประวัติศาสตร์ไม่ใช่วิชาที่ ศึกษาเฉพาะสิ่งที่บันทึกอยู่ในตำราหรือในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น ประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ จดบันทึกนั้นมีมากกว่าประวัติศาสตร์ที่จดบันทึกเอาไว้เป็นหมื่นเป็นแสนหรือเป็นล้านเท่า จากความหมายของประวัติศาสตร์ที่กล่าวมาทั้งหมดจึงสรุปได้ว่า คำว่า “ประวัติศาสตร์” มีความหมายใน 2 ลักษณะคือ "1 1) ประวัติศาสตร์ หมายถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำ หรือสร้างแนวความคิดไว้ทั้งหมด ตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติที่มีผลต่อมนุษยชาติ 2) ประวัติศาสตร์ หมายถึง เหตุการณ์ในอดีตที่นักประวัติศาสตร์ได้สืบสวนค้นคว้า แสวงหาหลักฐานมารวบรวม วิเคราะห์ ตีความหมาย และเรียบเรียงขึ้น โดยหยิบยกขึ้นมา ศึกษาเฉพาะแต่สิ่งที่ตนเห็นว่ามีความหมายและมีความสำคัญ ประวัติศาสตร์ในความหมายประการที่ 2 นั้น เริ่มต้นจากมีเหตุการณ์หรือพฤติกรรม มนุษย์เกิดขึ้นซึ่งมีมากและเกิดขึ้นตลอดเวลา ส่วนใหญ่มักถูกลืมหรือผ่านไปโดยไม่มีใครสังเกต ฉะนั้นประวัติศาสตร์จึงต้องอาศัยผู้บันทึก ผู้สังเกต และผู้จดจำสร้างหลักฐานไว้ โดยหลักฐาน นั้นอาจจะเป็นคัมภีร์ ตำรา ภาพวาด โบราณสถาน โบราณวัตถุ พงศาวดาร ศิลาจารึก เป็นต้น ผู้สร้างหลักฐานนี้จะเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องมีผู้รับผิดชอบโดยตรง และเมื่อเกิดหลักฐาน ขึ้นแล้ว ประวัติศาสตร์จำต้องอาศัยนักประวัติศาสตร์ ทำหน้าที่รวบรวม ตรวจตรา พิจารณา ไตร่ตรอง ตีความหมายของหลักฐานผสมผสานกับความรู้และประสบการณ์ในชีวิตมาวิเคราะห์ และเรียบเรียงขึ้น แต่สิ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้คือ ความจริงที่ว่าวันหนึ่ง ๆ มีการกระทำของมนุษย์มากมาย และไม่มีใครสามารถจำลองอดีตมาได้โดยสมบูรณ์ ฉะนั้นเหตุการณ์ที่นักประวัติศาสตร์ เรียบเรียงขึ้นจึงเป็นเรื่องราวเพียง 1 ใน 100 หรือ 1 ใน 1,000 ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และ ไม่แน่เสมอไปว่าจะถูกต้องที่สุดหรือสำคัญที่สุด หากแต่เป็นเพียงเรื่องราวของความสัมพันธ์ ระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและการตีความหมายในทัศนะของนักประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ใน 1 นันทนา กปิลกาญจน์, ประวัติศาสตร์และอารยธรรมโลก, 2539 หน้า 3 บทนำา DOU 5
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More