นิกายโยคาจารและนิกายมาธยมิกะในพุทธศาสนา GB 405 ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา หน้า 103
หน้าที่ 103 / 249

สรุปเนื้อหา

นิกายโยคาจารก่อตั้งขึ้นในปลายพุทธศตวรรษที่ 8 โดยมีท่านไมเตรยนาถเป็นผู้สร้างสรรค์ทฤษฎีสำคัญ องค์ความรู้สำคัญเช่น อภิสมยาลังการะและมหายานสูตราลังการะ นิกายนี้ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องโดยท่านอสังคะและวสุพันธุ์ ซึ่งมีการตีความลึกซึ้งเกี่ยวกับจิตและความจริงว่าจิตคือความจริงสูงสุด ในทางตรงกันข้าม นิกายมาธยมิกะมองว่าทุกสิ่งเป็นมายาและไม่มีสวลักษณะหรือสวภาวะในตัวเอง อย่างไรก็ตาม สองนิกายนี้ยังคงมีการขัดแย้งอย่างเข้มข้นในปรัชญาและการปฏิบัติ ซึ่งนำไปสู่หลักการที่แตกต่างตามแนวทางของแต่ละนิกาย

หัวข้อประเด็น

-กำเนิดนิกายโยคาจาร
-ปรัชญาของโยคาจาร
-นิกายมาธยมิกะ
-ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนิกาย
-บทบาทของท่านอสังคะและท่านวสุพันธุ์
-การตีความจิตในพุทธศาสนา

ข้อความต้นฉบับในหน้า

(Maitreya-natha) เป็นคณาจารย์ผู้เป็นต้นกำเนิดนิกายในปลายพุทธศตวรรษที่ 8 และได้ เขียนคัมภีร์ไว้หลายเล่ม เช่น อภิสมยาลังการะ มหายานสูตราลังการะ เป็นต้น แต่บางตำนาน บอกว่า โยคาจารเริ่มพัฒนาขึ้นอย่างช้าๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ.700 เป็นต้นมา และพัฒนาถึงขีดสูงสุด ประมาณปี พ.ศ.900 มีพื้นฐานทฤษฎีอยู่บนระบบการตีความเนื้อหาคัมภีร์ที่สำคัญ เช่น สันธินิรโมจนสูตร และลังกาวตารสูตร เป็นต้น นิกายโยคาจารเจริญถึงขีดสุดในสมัยของท่านอสังคะ (Asanga) และท่านวสุพันธุ (Vasubandhu) สองพี่น้องผู้แต่งตำราออกเผยแผ่มากมาย โดยท่านอสังคะพี่ชายเป็นศิษย์คน สำคัญของท่านไมเตรยนาถเป็นผู้อธิบายปรัชญาโยคาจารอย่างเป็นระบบต่อจากท่านไมเตรยนาถ ส่วนน้องชายคือวสุพันธุ์แต่เดิมบวชเรียนอยู่ในนิกายสรวาสติวาท หรือไวภาษีกะ มาภายหลัง จึงหันมานับถือมหายานนิกายโยคาจารตามพี่ชาย อสังคะเรียกชื่อนิกายฝ่ายตนว่า นิกายโยคาจาร (Yogacara) ส่วนวสุพันธุเรียกว่า นิกายวิชญาณวาท (Vijananavada) ที่ได้ชื่อว่าโยคาจารนั้นก็เพราะใช้วิธีบำเพ็ญโยคะหรือการ ฝึกจิตเพื่อบรรลุโพธิ (การรู้แจ้งความจริง) แต่ที่ชื่อว่า วิชญาณวาท ก็เพราะยึดถือจิตตมาตระ หรือวิชญาปติมาตร (Vijaaptimatra) หมายถึงความไม่มีอะไรนอกจากวิญญาณ (Thought-Only, or Mind-Only) ว่าเป็นความจริงแท้ขั้นสูงสุด พูดง่ายๆ ว่า ยอมรับเฉพาะจิตหรือวิญญาณเพียง ประการเดียวว่าเป็นจริง สิ่งต่าง ๆ นอกนั้นเป็นเพียงความคิดหรืออาการกิริยาของจิต ดังนั้น โยคาจารจึงใช้ปรัชญาไปในทางปฏิบัติ ส่วนวิชญาณวาทใช้ปรัชญาไปในทางเก็งความจริง นอกจากนี้ โยคาจารยังมีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า ธรรมลักษณะ ซึ่งหมายถึงการให้ ความสำคัญที่ลักษณะของธรรม แต่ไม่ว่าจะอย่างไร โยคาจารก็ยังมีหลักการสำคัญอยู่ที่การ ยอมรับจิตว่าเป็นความจริงเดียวที่มีอยู่ ไม่มีความจริงอื่นนอกจากจิต นิกายมาธยมิกะกับนิกายโยคาจารต่างเป็นคู่ปรับกันมาทุกยุคทุกสมัยเหมือนอย่าง ขมิ้นกับปูน ถึงขนาดห้ามสานุศิษย์ไม่ให้คบค้าสมาคมกัน มิให้ร่วมสังฆกรรม ข้อสำคัญที่ขัดแย้ง กันก็คือเรื่องสวลักษณะหรือสวภาวะ คือลักษณะหรือภาวะของตนเอง นิกายมาธยมิกะถือว่า โดยสมมติสัจจะแล้ว สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีสวลักษณะหรือสวภาวะในตัวของมันเอง เป็นมายา ทั้งหมด และโดยปรมัตถสัจจะแล้ว สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นศูนยตา ฝ่ายนิกายโยคาจารถือว่า โดยสมมติสัจจะแล้ว สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นมายาไป ทั้งหมดไม่ได้ แม้มองจากภายนอกจะไม่ใช่ของจริง แต่พี่ชะที่มาจากอาลยวิญญาณจนเป็นบ่อเกิด สุมาลี มหณรงค์ชัย, พุทธศาสนามหายาน, 2546 หน้า 96 94 DOU ประวัติศาสตร์ พระพุทธ ศาสนา
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More