การเข้าใจสวลักษณะในนิกายโยคาจารและมาธยมิกะ GB 405 ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา หน้า 104
หน้าที่ 104 / 249

สรุปเนื้อหา

เนื้อหานี้อภิปรายถึงแนวทางการตีความ 'สวลักษณะ' ในพระพุทธศาสนาทั้งนิกายโยคาจารและมาธยมิกะ โดยชี้ให้เห็นถึงการแตกต่างที่มีอยู่ในมุมมองศาสตร์ทั้งสอง นิกายโยคาจารเชื่อว่าสวลักษณะมีการเปลี่ยนแปลงแต่ยังคงมีอยู่จริง ขณะที่มาธยมิกะยืนยันว่าไม่มีอะไรอยู่เลยและมีแนวคิด 'ความว่างของความว่าง' เนื้อหาแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายสุดท้ายเพื่อความหลุดพ้นแม้จะมีความเชื่อที่แตกต่างกันไป ด้วยความเข้าใจที่ผิดในแต่ละด้านจึงทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างนิกาย ทั้งนี้ยังมีการชี้ให้เห็นถึงการมองจิตว่ามีอยู่จริงหรือไม่ในแต่ละนิกาย ซึ่งยังคงสร้างพลวัตที่น่าสนใจในทางปฏิบัติและการศึกษาในพระพุทธศาสนาโดยรวม สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ dmc.tv.

หัวข้อประเด็น

-ความแตกต่างของสวลักษณะ
-นิกายโยคาจาร
-นิกายมาธยมิกะ
-การหลุดพ้นในพระพุทธศาสนา
-ความขัดแย้งระหว่างนิกาย

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ของภาพเหล่านั้นมีสวลักษณะอยู่ด้วย และโดยปรมัตถสัจจะก็ไม่ได้สูญเสียไปทั้งหมด ยกตัวอย่าง ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสวลักษณะอยู่ภายในตัวของมันเองแล้ว คนเราทำความชั่ววันนี้ พรุ่งนี้ก็ ไม่ต้องรับความชั่วที่ตัวเองได้กระทำไว้ ถ้าไม่มีสวลักษณะหรือสวภาวะอยู่แล้วใครเล่าจะเป็นคน คอยรับบุญรับบาป นายปอทำความชั่ววันนี้ พรุ่งนี้ก็กลายเป็นคนละคนไปแล้วไม่ต้องรับความ ชั่วที่ตัวก่อไว้ เหมือนกับปลูกมะละกอ ถ้าไม่มีสวลักษณะอยู่จริงก็กลายเป็นมะม่วงมะพร้าวไป สรุปแล้วนิกายทั้ง 2 ตีความหมายให้คำนิยามสวลักษณะแตกต่างกัน และดูเหมือนจะ แย้งกันแบบสุดโต่ง ทั้งที่จริงแล้วจุดประสงค์ของทั้ง 2 นิกายเหมือนกัน คือ เพื่อความหลุดพ้น แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะแตกต่างกันเป็นเพียงแนวทางการนำเสนอเท่านั้น โดยโยคาจารถือว่ามีจิต อยู่จริงและเป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียว สวลักษณะนั้นเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถึงจะเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ยังรักษาคุณสมบัติเดิมเอาไว้ได้ ดังนั้นจึงต้องพยายามทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากความ ยุ่งยากซับซ้อนในโลก โดยหันมาดูที่กระแสจิตของตนและบังคับควบคุม ส่วนมาธยมิกะถือว่าโดยที่สุดแล้วไม่มีอะไรอยู่เลย จึงยืนยันว่า ขึ้นชื่อว่าสวลักษณะ แล้วจะต้องเที่ยงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทั้งยังเสนอว่า ต้องพยายามทำตัวเองให้หลุดพ้นโดยไม่ ยึดถืออะไรเลย และจุดเน้นของมาธยมิกะไม่ได้เพียงว่าไม่ยึดถืออะไรเลยเท่านั้น แต่ก้าวไปไกล ถึงขนาดกล่าวว่า “โดยที่สุดแล้ว ความว่างก็ไม่มี (Emptiness of Emptiness)” ฝ่ายมาธยมิกะ จึงประณามพวกโยคาจารว่าเป็นพวกสัสสตวาท (ความมีอยู่อย่างเที่ยงแท้ถาวร) ฝ่ายโยคาจาร ก็ประณามพวกมาธยมิกะว่าเป็นพวกนัตถิกวาท (ความไม่มีอะไรอยู่เลย ไม่มีสภาวะที่จะ กำหนดเป็นสาระได้) ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันว่า เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดความขัดแย้งจนหาจุดจบไม่ได้ ทั้งสองนิกายนี้ ก็เลยเข้าข่ายเป็นมิจฉาทิฏฐิไปทั้งคู่ ตามหลักคำสอนฝ่ายเถรวาท อันที่จริง โยคาจารเห็นด้วยกับมาธยมิกะเฉพาะเรื่องความไม่มีอยู่จริงของวัตถุหรือ อารมณ์ภายนอก แต่เรื่องที่เห็นว่าจิตไม่มีจริงหรือไม่มีอยู่จริงนั้น โยคาจารไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะถือว่าทรรศนะของมาธยมิกะที่ปฏิเสธว่าสูญทั้งหมดเท่ากับเป็นความเห็นผิดอย่าง ไม่น่าให้อภัย เพราะโยคาจารเชื่อว่าอย่างน้อยที่สุดเราต้องยอมรับว่าจิตเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ทั้งนี้ เพื่อให้ความคิดที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ จิตซึ่งประกอบด้วยกระแสแห่งความคิดชนิดต่าง ๆ (เจตสิก) เป็นสิ่งแท้จริงเพียงประการเดียว ดังนั้นหากจะกล่าวไปแล้ว ก็คงถือได้ว่านิกายโยคาจาร จัดว่าเป็นปรัชญาคำสอนฝ่ายอภิธรรมของมหายานที่ดูจะใกล้เคียงกับหลักคำสอนในการ - ประยงค์ แสนบุราณ, พระพุทธศาสนามหายาน,, 2549 หน้า 76-77 พระพุ ท ธ ศ า ส น า ใ น อินเดีย หลังยุค พุ ท ธ ก า ล DOU 95
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More