ข้อความต้นฉบับในหน้า
หรือถูกก็ได้ ต้องยึดหลักพระวินัยจึงจะเป็นสิ่งสมควร)
7. ภิกษุชาววัชชี: นมส้มที่แปรมาจากนมสดแต่ยังไม่กลายเป็นทธิ (เนยใส) ภิกษุฉัน
อาหารเสร็จแล้ว จะฉันนมนั้นทั้งที่ยังไม่ได้ทำวินัยกรรมหรือทำให้เป็นเดนตาม
พระวินัยก็ได้ ไม่เป็นอาบัติ
(พระสัพพกามีโต้ตอบว่า: นมส้มที่ละความเป็นนมสดไปแล้ว แต่ยังไม่กลายเป็นทธิ
ภิกษุฉันภัตตาหารแล้ว ห้ามภัตรแล้ว จะดื่มนมนั้
จะดื่มนมนั้นอันไม่เป็นเดนภิกษุไข้หรือยังไม่ได้
ทำวินัยกรรม ไม่ควร ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันอาหารที่เป็นอนติริตตะ)
8. ภิกษุชาววัชชี: สุราที่ทำใหม่ๆ ยังมีสีแดงเหมือนสีเท้านกพิราบ ยังไม่เป็นสุราเต็มที่
ภิกษุจะฉันก็ได้ ไม่เป็นอาบัติ
(พระสัพพกามีโต้ตอบว่า:
การดื่มสุราอย่างอ่อนที่มีสีเหมือนสีเท้านกพิราบ ซึ่งยัง
ไม่ถึงความเป็นน้ำเมา ไม่ควร เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะดื่มสุราและเมรัย)
9. ภิกษุชาววัชชี: ผ้าปูนั่งนิสีทนะอันไม่มีชาย ภิกษุจะบริโภคใช้สอยก็ได้ ไม่เป็นอาบัติ
(พระสัพพกามีโต้ตอบว่า: ผ้านิสีทนะที่ไม่มีชาย ภิกษุจะใช้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ซึ่งจะต้องตัดเสียจึงจะแสดงอาบัติตก)
10. ภิกษุชาววัชชี: ภิกษุรับและยินดีในเงินทองที่เขาถวาย ไม่เป็นอาบัติ
(พระสัพพกามีโต้ตอบว่า : การรับเงินหรือยินดีซึ่งเงินและทองที่เขาเป็
ไม่สมควรเป็นอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์)
yed
ขาเกบไว้เพอตนเอง
ฝ่ายพระวัชชีบุตรเมื่อไม่ได้การยอมรับจากสงฆ์จึงเสียใจแล้วพร้อมใจกันไปทำสังคายนา
ต่างหากที่เมืองปาฏลีบุตร มีผู้เข้าร่วมถึง 10,000 รูป เรียกตนเองว่ามหาสังคีติหรือมหาสังฆิกะ
เพราะเหตุที่มีพวกมาก ในที่สุดสงฆ์จึงได้แตกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายพระสัพพกามีเถระ และ
ภิกษุชาววัชชีที่เรียกตนเองว่ามหาสังคีติ และในกาลต่อมา จึงแตกออกเป็น 18 นิกาย โดย 7 นิกาย
ที่แตกจากมหาสังฆิกะ เกิดเมื่อปี พ.ศ.100-200 ส่วน 11 นิกายที่แตกจากเถรวาท เกิดเมื่อปี
พ.ศ.200 เป็นต้นมา
การสังคายนาในครั้งนี้ หลักฐานฝ่ายเถรวาทระบุว่าเป็นการปรารภเหตุเพื่อระงับ
ความแตกแยกทางการปฏิบัติสีลสามัญญตา (ความเสมอกันด้วยศีล) ในกรณีของพระภิกษุชาว
วัชชีที่ประพฤตินอกพระธรรมวินัยดังกล่าว แต่ในปกรณ์สันสกฤตของฝ่ายมหายานที่มีชื่อว่า
เภทธรรมจักรศาสตร์ กลับชี้ประเด็นไปที่เรื่องความวิบัติแห่งทิฏฐิสามัญญตาแห่งคณะสงฆ์
74 DOU ประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา