ข้อความต้นฉบับในหน้า
กันเป็นเวลาถึง 7 ปี
ต่อมา ความทราบไปถึงพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ได้รับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่งไป
อาราธนาให้พระทำสังฆกรรมร่วมกัน เมื่อพระเหล่านั้นไม่ยินยอม อำมาตย์ถือว่าพระสงฆ์ขัด
พระบรมราชโองการ จึงตัดคอพระมรณภาพไปหลายรูป พระติสสเถระซึ่งเป็นพระอนุชาของ
พระเจ้าอโศกเห็นไม่ได้การจึงรีบเข้าไปขัดขวางไว้พวกอำมาตย์ไม่กล้าฆ่าพระอนุชา จึงนำความไป
กราบทูลให้พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบ พระเจ้าอโศกทรงตกพระทัยมาก กลัวว่าบาปกรรมจะ
ตกมาถึงพระองค์ด้วย แม้ว่าอำมาตย์จะทำไปโดยพลการก็ตามที พระองค์จึงไปเรียนถาม
พระเถระทั้งหลาย ปรากฏว่าท่านเหล่านั้นตอบไม่ตรงกัน ในที่สุดได้รับคำแนะนำให้ไป
อาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระมาวินิจฉัยให้ พระเถระได้ถวายวินิจฉัยข้อข้องพระทัยว่า
เมื่อพระองค์ไม่มีความประสงค์จะให้อำมาตย์ไปฆ่าภิกษุ บาปนั้นจึงไม่มีแก่พระองค์ และให้
พระราชาทรงมั่นพระทัยในพุทธภาษิตที่ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม
บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย วาจา ใจ”
หลังจากพระเจ้าอโศกทรงสบายพระทัยเพราะได้ฟังคำวินิจฉัยของพระเถระแล้ว
พระเถระจึงให้พระเจ้าอโศกทรงศึกษาสัจธรรมทางพระพุทธศาสนา จนสามารถแยกแยะได้ว่า
อะไรเป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา และอะไรเป็นคำสอนของเจ้าลัทธินอกพระพุทธศาสนา
พระเจ้าอโศกมหาราชจึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาสอบถามด้วยพระองค์เองว่า
* สมฺมาสมฺพุทฺโธ = พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปกติตรัสว่าอย่างไร
=
ถ้าพระรูปใดตอบว่า วิภชชวาที - มีปกติจำแนก ก็ถือว่าเป็นพระที่แท้จริง ท่านที่ตอบ
เป็นอย่างอื่นถือว่าเป็นพวกเดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวชรับสั่งให้แจกผ้าขาวให้กับพวกเหล่านั้นให้สึก
ออกไปเสียเป็นจำนวนมาก ในสมันตปาสาทิกาบอกว่ามีถึง 60,000 รูป เมื่อชำระสังฆมณฑล
ให้หมดจดบริสุทธิ์ได้แล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้อาราธนาให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรมกัน
ตามปกติ
มีข้อน่าสังเกตในเรื่องนี้ 2 ประการคือ
1. การแยกระหว่างพระจริงและพระปลอมโดยการตั้งคำถาม ใครตอบถูกถือว่าเป็น
พระจริง ใครตอบไม่ถูกถือว่าเป็นพระปลอม แล้วให้จับสึก น่าจะมิใช่วิธีการที่ดี เพราะสมมุติถ้า
ใช้วิธีการอย่างนี้กับพระสงฆ์ในปัจจุบัน พระจริงที่ไม่ได้ศึกษามามาก อาจตอบผิด ถูกจับสึก แต่
พระไม่ดีแต่ฉลาด อาจตอบถูก เป็นประเภทถึงรู้แต่ก็ไม่ปฏิบัติ เพราะคนมีความรู้ ไม่ใช่
76 DOU ประวัติศาสตร์ พระพุทธ ศาสนา