ข้อความต้นฉบับในหน้า
อาชีพอยู่เป็นครอบครัวได้ตามปกติ ส่วนช่วงสันยาสี (ผู้แสวงหาโมกษะ) นั้น เป็นช่วงชีวิตที่
ใครจะเลือกจะเลือกหรือไม่เลือกก็ไม่มีผลต่อความพ้นทุกข์เพราะความพ้นทุกข์ขึ้นอยู่กับการ
บูชายัญเป็นหลัก
แต่ครั้นมาถึงยุคอุปนิษัท ระบบโครงสร้างทางศาสนาอันได้แก่คำสอนและการปฏิบัติ
ของศาสนาพราหมณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคยมุ่งเน้นการเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดจาก
ภายนอกโดยอาศัยการประกอบพิธีบูชายัญเป็นหลัก ก็เปลี่ยนมาเป็นการเข้าถึงพรหมันตาม
หลักปรัชญาในคัมภีร์อุปนิษัท อาศัยการบำเพ็ญตบะหรือบำเพ็ญโยคะอย่างยิ่งยวด ละทิ้ง
ทุกอย่างเพื่อให้เข้าถึงพรหมัน เพราะเห็นว่า การบูชายัญนั้นเพียงช่วยให้ไปสวรรค์ได้ แต่ก็ยัง
ไม่อาจช่วยให้บรรลุโมกษะเข้าถึงพรหมมันได้เลย
ดังนั้น ในยุคอุปนิษัท ความสำคัญของพราหมณ์ในฐานะผู้ประกอบพิธีกรรมเริ่มลดลง
ช่วงสันยาสีหรือช่วงชีวิตสุดท้ายที่มุ่งแสวงหาโมกษะกลับได้รับการยกย่องมากเป็นพิเศษ และ
ยังเชื่ออีกว่าการเข้าสู่ช่วงสันยาสีนั้นจะเริ่มต้นเมื่อใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีอายุมาก
หรือมีลูกหลานก่อนตามแบบเดิม แนวคิดดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดการเติบโตและแผ่ขยายของลัทธิ
ถือพรตอยู่ป่า ปลีกตัวจากโลกภายนอก ไม่มีชนชั้นวรรณะ และมุ่งความสันโดษและแสวงหา
ความสุขทางจิตวิญญาณ
แนวคิดและระบบปรัชญาอินเดีย 2 สาย
สมัยที่ปรัชญาอุปนิษัทเกิดขึ้น เป็นยุคที่ใกล้กับพุทธกาลมากแล้ว เป็นยุคที่นักคิดชาว
อินเดียเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ไม่ผูกพันกับระบบประเพณีดั้งเดิมซึ่งถ่ายทอดกันมาแต่
สมัยพระเวท เพราะฉะนั้นจึงมีนักคิดอิสระที่มีความคิดแหวกแนวออกไปจากระบบประเพณี
ดั้งเดิมของพระเวทออกไป
พวกนักคิดอิสระที่พากันปฏิเสธคัมภีร์พระเวทมีอยู่หลายกลุ่ม ในพระไตรปิฎกได้
กล่าวถึงชื่อ อาชีวก ปริพาชก นิครนถ์ ลัทธิครูทั้ง 6 ท่านเหล่านี้ล้วนแต่เป็นนักคิดอิสระที่แยก
ตัวออกมาจากพราหมณ์ผู้นับถือพระเวททั้งสิ้น
ดังนั้น ยุคนี้จึงเป็นเสมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างลัทธิความเชื่อสองสาย คือ ลัทธิศาสนา
พราหมณ์ที่ยังคงยึดมั่นอยู่ในคัมภีร์พระเวท กับลัทธิศาสนาใหม่ๆ ที่ปฏิเสธคัมภีร์พระเวท
* พราหมณ์มี 2 ประเภท คือ (1) พราหมณ์ที่ยังมีบุตรภรรยา เรียกว่า คฤหบดีพราหมณ์ และ (2) พราหมณ์ที่
สละทรัพย์สมบัติออกไปบำเพ็ญพรตภาวนาอยู่ตามลำพัง เรียกว่า สมณพราหมณ์
* สุมาลี มหณรงค์ชัย, ฮินดู-พุทธ จุดยืนที่แตกต่าง, 2546 หน้า 31
สังคม อินเดีย ก่ อ น ยุ ค พุ ท ธ ก า ล DOU 35