ข้อความต้นฉบับในหน้า
ตามธาตุไฟ ธาตุลมก็จะไปตามธาตุลม อินทรีย์ทั้งหลายย่อมเลื่อนลอยไปในอากาศ คนทั้งหลาย
จะหามเขาไปยังป่าช้า กลายเป็นกระดูกมีสีดุจสีนกพิราบ สิ่งที่ได้จากการเซ่นสรวงคือขี้เถ้าเท่านั้น
ทานนี้คนเขลาบัญญัติไว้ คำของคนบางพวกพูดว่ามีผล ล้วนเป็นคำเปล่า คำเท็จ คำเพ้อ เพราะ
เมื่อกายสลาย ทั้งพาลทั้งบัณฑิตย่อมขาดสูญพินาศสิ้น ตายแล้วเป็นอันดับสนิทไม่มีการเกิดอีก
3.2.4. ปกุธกัจจายนะ
เล่ากันว่าปกุธกัจจายนะเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในวัยเด็กมีความสนใจทางศาสนา
เป็นอย่างยิ่ง เมื่อโตขึ้นจึงออกบวชแสวงหาโมกขธรรม เมื่อคิดว่าตนบรรลุธรรมแล้ว ก็ตั้งตัว
เป็นอาจารย์สั่งสอนประชาชน
ปกุธกัจจายนะเป็นผู้ห้ามน้ำเย็นแม้จะถ่ายอุจจาระก็ไม่ใช้น้ำเย็นล้างเขาใช้เฉพาะน้ำร้อน
หรือน้ำข้าวเท่านั้น การเดินผ่านแม่น้ำหรือเดินลุยแอ่งน้ำบนถนนถือว่าศีลขาด เมื่อศีลขาด
เขาจะก่อทรายทำเป็นสถูปแล้วอธิษฐานศีล จากนั้นจึงค่อยเดินต่อไป
ลัทธิของปกุธกัจจายนะจัดอยู่ในประเภท “นัตถิกวาทะ” หมายถึง ลัทธิที่ถือว่าไม่มีเหตุ
ไม่มีปัจจัยเช่นเดียวกับลัทธิของมักขลิโคสาล ดังที่ปกุธกัจจายนะกล่าวกับพระเจ้าอชาตศัตรูใน
สามัญญผลสูตรว่า สภาวะ 7 กอง คือ กองดิน กองน้ำ กองไฟ กองลม สุข ทุกข์ และชีวะ สภาวะ
เหล่านี้ไม่มีใครทำ ไม่มีแบบอย่างอันใครทำไม่มีใครเนรมิต เป็นสภาพยั่งยืน ตั้งมั่นดุจยอดภูเขา
ตั้งมั่นดุจเสาระเนียด ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกันและกัน ไม่อาจให้เกิดสุขหรือ
ทุกข์ หรือทั้งสุขและทุกข์แก่กันและกัน ผู้ฆ่าเองก็ดี ผู้ใช้ให้ฆ่าก็ดี ผู้ได้ยินก็ดี ผู้กล่าวให้ได้ยินก็ดี
ผู้เข้าใจความก็ดี ผู้ทำให้เข้าใจความก็ดีไม่มีในสภาวะ 7 กองนั้น
บุคคลจะเอาศาสตราอย่างคม
ตัดศีรษะกัน ไม่ชื่อว่าใครๆ ปลงชีวิตใคร ๆ เป็นแต่ศาสตราสอดเข้าไปตามช่องแห่งสภาวะ 7 กอง
เหล่านี้เท่านั้น คำสอนของปกุธกัจจายนะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัสสตทิฏฐิ คือ เห็นว่าโลกเที่ยง
ซึ่งเป็นคำสอนที่ตรงข้ามกับ “อุจเฉทวาทะ” คือ ลัทธิที่ถือว่าตายแล้วขาดสูญของอชิตเกส-
กัมพล และตรงข้ามกับคำสอนในพระพุทธศาสนาด้วย
3.2.5 สัญชัยเวลัฏฐบุตร
สัญชัยเวลัฏฐบุตรเป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระมหา
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม 53 หน้า 171-172
* มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 18 หน้า 569
3 ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม 53 หน้า 174-175
สังคม อินเดีย สมัย พุ ท ธ ก า ล DOU 51