ข้อความต้นฉบับในหน้า
บทที่ 4
พระพุทธศาสนาในอินเดียหลังยุคพุทธกาล
4.1 พระพุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพพาน 500 ปี
ในมหาปรินิพพานสูตรมีข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงโอวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส
กับพระอานนท์ว่า “อานนท์บางทีพวกเธออาจจะคิดว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว
พวกเราไม่มีพระศาสดา ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติ
แล้วแก่เธอทั้งหลาย หลังจากเราล่วงลับไป ก็จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย”
พระพุทธดำรัสนี้เป็นสิ่งยืนยันอย่างชัดเจนว่า พระผู้มีพระภาคทรงให้ความสำคัญกับ
ธรรมและวินัยที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วอย่างสูงยิ่ง ทรงยกธรรมและวินัยนั้นไว้ในฐานะ
ศาสดาแทนพระองค์เอง นั่นหมายความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไป
แล้ว ธรรมและวินัยถือเป็นสิ่งแทนพระศาสดาและเป็นตัวพระศาสนาที่แท้จริงที่พุทธบริษัทจะ
ต้องช่วยกันรักษาให้ดำรงคงอยู่สืบไป
การปรารภที่จะสังคายนาพระธรรมวินัยนั้น เริ่มมีมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล ใน
ปาสาทิกสูตร” กล่าวว่า ภายหลังจากที่นิครนถนาฏบุตรผู้เป็นศาสดาของศาสนาเชนได้สิ้นชีวิต
สานุศิษย์ได้ทะเลาะกันขนานใหญ่จนแตกแยกนิกายกัน พระพุทธองค์ทรงปรารภเหตุนี้ ตรัส
แนะนำให้พระสงฆ์ทั้งปวงร่วมกันสังคายนาพระธรรมวินัยไว้เพื่อให้พรหมจรรย์คือพระศาสนานี้
ดำรงอยู่ได้นาน และเพื่อประโยชน์และความสุขแก่มหาชน ทั้งนี้เพราะไม่ทรงปรารถนาให้สาวก
ทั้งหลายต้องแตกแยกทะเลาะวิวาทกันเหมือนอย่างสาวกของศาสนาเชนที่ต่างทุ่มเถียงกันว่า
ก่อนนี้ศาสดาของตนได้สอนไว้อย่างไร
ฉะนั้น ในเวลาต่อมา พระสารีบุตรจึงได้แสดงวิธีการสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัย
ไว้เป็นแบบแผนโดยท่านได้รวบรวมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เป็นข้อธรรมต่าง ๆ
มาแสดงตามลำดับหมวด ตั้งแต่หมวดหนึ่งถึงหมวดสิบ มีตัวอย่างดังปรากฏในสังคีติสูตร
· ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม 13 ข้อ 141 หน้า 320
* ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค, เล่ม 15 ข้อ 94-106 หน้า 258-271
3 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค, เล่ม 16 ข้อ 221-363 หน้า 157-263
พระพุทธศาสนาในอินเดีย หลังยุค พุ ท ธ ก า ล DOU 69