ข้อความต้นฉบับในหน้า
แนวคิด
1. การสังคายนาพระธรรมวินัยในอินเดียซึ่งยอมรับกันในฝ่ายเถรวาทมี 3 ครั้ง คือ
ภายหลังจากพุทธปรินิพพานได้ 3 เดือน พระมหากัสสปะก็ปรารภเหตุที่มีภิกษุกล่าวจ้วงจาบ
พระธรรมวินัย จึงชักชวนภิกษุสงฆ์ให้ทำการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก ซึ่งนับเป็นครั้งที่
สำคัญที่สุดเพราะได้รวบรวมพุทธวจนะมาทรงจำรักษาไว้เป็นแบบแผนและสืบทอดด้วยมุขปาฐะ
ต่อมาในการสังคายนาครั้งที่ 2 ซึ่งปรารภเหตุภิกษุชาววัชชีประพฤตินอกพระธรรมวินัย ภิกษุ
วัชชีบุตรไม่ยอมรับมติ จึงแยกไปทำสังคายนาต่างหากและเรียกตัวเองว่า มหาสังฆิกะ จึงทำให้
สงฆ์แตกออกเป็น 2 ฝ่าย และในการสังคายนาครั้งที่ 3 สมัยพระเจ้าอโศกซึ่งปรารภเหตุ
เดียรถีย์ปลอมบวชในพระศาสนา จึงปรากฏว่าคณะสงฆ์ได้แยกเป็น 18 นิกายแล้วอย่างชัดเจน
2. การเกิดขึ้นของนิกายมหายานในอินเดีย ดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเน้น
การปรับปรุงวิธีเผยแผ่พระพุทธศาสนาเสียใหม่ ทั้งยังปฏิรูปเปลี่ยนแปลงคำสอนดั้งเดิมเพื่อให้
สามารถแข่งกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่กำลังเฟื่องฟูอยู่ในขณะนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ
มุ่งเน้นอุดมคติพระโพธิสัตว์โดยการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ถือว่าเป็นแกนกลางของคำสอน
ทั้งหมดในฝ่ายมหายานและยกย่องว่าโพธิสัตวยานเป็นหนทางอันสูงสุดเพราะสามารถช่วยเหลือ
สรรพสัตว์ไปได้มากที่สุด ภายหลังมหายานยังได้แตกเป็นนิกายย่อย ๆ อีก ได้แก่ นิกายมาธยมิกะ
และนิกายโยคาจาร
ໆ
3. พระพุทธศาสนาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่พระพุทธศาสนา
ดั้งเดิมในยุคพุทธกาล ซึ่งต่อมาได้แบ่งออกเป็น 2 สาย คือ เถรวาทอันเป็นนิกายที่ยึดมั่นรักษา
สืบทอดแก่นคำสอนดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น อีกสายหนึ่งคือ มหายานที่ปรับเปลี่ยนคำสอน
ไปตามความจำเป็นของยุคสมัย และต่อมาเกิดเป็นพุทธตันตระหรือวัชรยานที่ผสมผสานลัทธิ
ฮินดูมีการข้องแวะเรื่องเพศ จนแทบจะไม่เหลือต้นเค้าของพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมไว้เลย
4. สาเหตุที่ทำให้พระพุทธศาสนาต้องสูญสิ้นไปจากอินเดีย สรุปได้ 2 ประการคือ
ประการแรกเกิดจากสาเหตุภายในคือความอ่อนแอของพุทธบริษัทเอง เริ่มต้นจากความประพฤติ
ย่อหย่อนต่อพระธรรมวินัยของพระภิกษุสงฆ์ จนละเลยการปฏิบัติธรรมอันเป็นหัวใจของ
พระพุทธศาสนา ความขัดแย้งแตกแยกทางความคิดของหมู่สงฆ์ที่เน้นการโต้แย้งกันในเชิง
ทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติ ได้ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีกันในหมู่ชาวพุทธ ซึ่งถือว่าเป็น
พระพุ ท ธ ศ า ส น า ใ น อินเดีย หลังยุค พุ ท ธ ก า ล DOU 67