ข้อความต้นฉบับในหน้า
ฉะนั้น ลัทธิศาสนาของอินเดียในยุคนี้ จึงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 พวก คือ
1. พวกอไวทิกวาทะ (Avaidika) หรือนาสติกะ (Nastika) คือพวกที่ปฏิเสธความ
ศักดิ์สิทธิ์ของพระเวท ปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และไม่ยอมรับประเพณีของพราหมณ์
ซึ่งหลัก ๆ ก็ได้แก่ ลัทธิของครูทั้ง 6 ศาสนาเชน และพระพุทธศาสนา ซึ่งหากจะแยกให้ชัดเจน
ก็แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1) กลุ่มเหตุผลนิยม (Rationalist) ที่เน้นการแสวงหาความรู้ โดยการใช้
เหตุผลและการตั้งข้อสมมุติฐาน ซึ่งถือว่าเป็นการเก็งความจริง นักคิดกลุ่มนี้ยืนยันว่าความรู้ที่
ได้มานั้นเกิดจากการใช้เหตุผลของมนุษย์ล้วนๆ ไม่อ้างอำนาจวิเศษเหนือธรรมชาติใด ๆ ทั้ง
มิได้อ้างว่าเป็นความรู้ที่เกิดจากญาณหยั่งรู้พิเศษอันเกิดมาจากการบำเพ็ญเพียงทางจิตจนบรรลุ
แต่เป็นความคิดความเห็นที่เกิดจากการคาดคะเนและทำนายตามหลักเหตุผลล้วนๆนักคิดกลุ่มนี้
ประกอบด้วยนักปรัชญาอุปนิษัทยุคแรก นักปรัชญาสายอาชีวกะ และปริพาชกะ
2) กลุ่มประสบการณ์นิยมหรือปฏิบัตินิยม (Experientialist) ที่ยืนยันว่า
ความรู้ที่แท้จริง ย่อมเป็นผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติ การทดลองพิสูจน์จนได้รู้แจ้งเองด้วย
ประสบการณ์ของตน นักคิดกลุ่มนี้ประกอบด้วย นักปรัชญาอุปนิษัทยุคปลาย นักปรัชญาเช่น
เป็นต้น ในแง่มุมการแสวงหาความรู้ นักปฏิบัติกลุ่มนี้มีแนวทางใกล้เคียงกับพระพุทธศาสนา
2. พวกไวทิกวาทะ (Vaidika) หรืออาสติกะ (Astika) คือพวกที่ยังคงนับถือพระเวท
เป็นปทัฏฐาน คือยอมรับประเพณีของพราหมณ์และไม่ปฏิเสธความศักดิ์สิทธิ์ของพระเวท
พวกไวทิกวาทะนี้จึงจัดอยู่ในประเภทจารีตนิยม (Traditionalist) เพราะเชื่อว่าความรู้ทุกชนิด
เกิดมาจากแหล่งเดียวกัน โดยการเปิดเผยของเทพเจ้า เรียกว่า “พระเวท” (Vedas) ซึ่ง
พราหมณ์ยึดถือกันว่าเป็นคัมภีร์หลักที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นโองการของสวรรค์ เป็น
ขุมทรัพย์ทางปัญญาอันยิ่งใหญ่และสูงส่งของมวลมนุษย์ ดังนั้นเมื่อมีการศึกษาและสืบทอดก็
ต้องยึดตามแบบแผนและปฏิบัติตามประเพณีธรรมเนียมเก่า ต้องอนุรักษ์และอนุวัตรตามสิ่งที่
กล่าวในคัมภีร์พระเวท โดยไม่มีข้อโต้แย้ง วิจารณ์ หรือแสวงหาเหตุผลใดๆ
1 เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ฉบับมุขปาฐะ ภาค 1, 2535 หน้า 8
* พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์ บทความทางวิชาการเรื่อง พุทธปรัชญา (Buddhist Philosophy), หน้า 4
36 DOU ประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา