ข้อความต้นฉบับในหน้า
เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น” ความเชื่อนี้ได้ก่อให้เกิดปัญหาการแตกแยกนิกายในยุคต่อ ๆ มา คือ กลุ่ม
ที่บูชาพระวิษณุก็มุ่งมั่นภักดีในองค์พระวิษณุจนเกิดเป็นไวษณพนิกาย (Vaishnavism) ส่วน
กลุ่มที่บูชาพระศิวะก็มุ่งมั่นภักดีต่อพระศิวะเกิดเป็นไศวนิกาย (Saivism)
การเกิดขึ้นของทั้งสองนิกายนี้ทำให้พระเป็นเจ้าทั้งสองโดดเด่นและมีความหมายใน
ฐานะเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว และในขณะเดียวกันฐานะของพระพรหมก็ค่อย ๆ เสื่อมความ
นิยมลง ในปัจจุบันเทวาลัยในอินเดียที่ประดิษฐานรูปปั้นพระพรหมนั้นแทบจะหาไม่ได้เลย
บางเทวาลัยมีแต่รูปปั้นของพระศิวะและพระวิษณุประดิษฐานโดดเด่นเป็นสง่า แต่ในคูหาหรือ
ช่องเล็กๆ ของผนังเทวาลัยกลับมีรูปปั้นพระพรหมองค์เล็ก ๆ ประดิษฐานรวมอยู่ด้วยเท่านั้นเอง
เราจะเห็นว่า การสร้างเทพเจ้าขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ เป็นลักษณะสำคัญ
ของศาสนาพราหมณ์ที่ต่างจากศาสนาอื่น ๆ สมัยพราหมณะจึงเป็นสมัยที่มนุษย์สร้างพระเจ้า มิใช่
พระเจ้าสร้างมนุษย์อย่างที่เคยเชื่อถือมาแต่เดิม ในยุคนี้ทั้งผู้นำทางศาสนาพราหมณ์และผู้
เคารพบูชาต่างก็มุ่งเน้นไปที่ความฉาบฉวยของเปลือกนอกแห่งศาสนา จนละเลยคำสอนใน
คัมภีร์ไตรเพท กลับเน้นหนักไปกับเรื่องราวอิทธิปาฏิหาริย์และเวทมนตร์มายาคุณไสยต่าง ๆ ที่
เก็บไว้ในคัมภีร์ที่ 4 หรืออาถรรพเวทเป็นหลัก
แม้แต่แนวคิดเรื่องตรีมูรติก็เป็นเช่นนั้น คือเกิดขึ้นด้วยความต้องการให้เกิดการรวม
ปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่แห่งองค์เทพทั้งสามเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเท่ากับองค์เทพองค์เดียวกันนี้มีพลัง
อำนาจ ทั้งการสร้างโลกโดยพระพรหม บำรุงรักษาโลกโดยพระวิษณุ และทำลายโลกโดยพระศิวะ
จะเห็นว่าแนวทางนี้ก็ยังมุ่งเน้นไปที่อิทธิปาฏิหาริย์แห่งองค์เทพเป็นหลัก แทนที่จะมุ่งศึกษา
คำสอนดั้งเดิมในคัมภีร์พระเวท สิ่งเหล่านี้ก็คือสัญญาณแห่งความเสื่อมของศาสนาพราหมณ์
ในช่วงเวลาต่อมา และเป็นเหตุให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนคำสอนเสียใหม่ กระทั่งกลายเป็น
ศาสนาฮินดูที่พยายามในทุกวิถีทางที่จะเรียกศรัทธากลับคืนมาให้ได้มากที่สุด
พัฒนาการของระบบวรรณะ 4 สู่ระบบชนชั้น
ในยุคพระเวท แม้จะมีการแบ่งเป็นวรรณะแล้ว แต่ยังไม่เด่นชัดนัก ระบบวรรณะเริ่ม
ก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นเมื่อสงครามระหว่างอารยันกับดราวิเดียนสิ้นสุดลง การตีความความหมาย
ของวรรณะตามคัมภีร์พระเวทเป็นสิ่งที่เกิดจากความจำเป็นทางสังคมหรือความต้องการของผู้
มีอำนาจในสังคมเป็นหลัก เช่นในระยะแรกของการมีระบบวรรณะ วรรณะจะถูกตีความไปตาม
* ดวงธิดา ราเมศวร์, 2 อารยธรรมยิ่งใหญ่แห่งอาเซียน อินเดีย-จีน, 2549 หน้า 58
สังคม อินเดีย ก่ อ น ยุ ค พุ ท ธ ก า ล DOU 29