ข้อความต้นฉบับในหน้า
มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ พระมหาเทวะเป็นผู้สวดปาฏิโมกข์ แต่ท่านผู้นี้เป็นฝ่าย
อธรรมวาที ได้เสนอมติ 5 ข้อต่อที่ประชุมสงฆ์ ซึ่งมีใจความดังนี้
1. พระอรหันต์อาจถูกมารยั่วยวนจนอสุจิเคลื่อนในเวลาหลับได้
2. พระอรหันต์อาจมีอัญญาณคือความไม่รู้ในบางสิ่งได้
3. พระอรหันต์อาจมีกังขาคือความลังเลสงสัยในบางสิ่งได้
4. ผู้จะรู้ว่าตนได้บรรลุมรรคผลชั้นใด จำต้องอาศัยการพยากรณ์จากคนอื่น
5. บุคคลจะบรรลุพระอรหันต์ได้ด้วยการเปล่งวาจาว่า ทุกข์หนอ ๆ
ฝ่ายธรรมวาทีจึงคัดค้านประกาศทั้ง 5 ข้อของพระมหาเทวะว่าเป็นมิจฉาทิฐิ มิจฉาวาจา
แต่ฝ่ายธรรมวาที่มีจำนวนน้อยฝ่ายเข้าข้างพระมหาเทวะมีจำนวนมากกว่า และเมื่อหาข้อยุติไม่ได้
พระเจ้ากาฬาโศกจึงต้องเสด็จมาห้ามด้วยพระองค์เอง แต่พระองค์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงตรัส
ถามพระมหาเทวะ พระมหาเทวะถวายความเห็นให้ตัดสินด้วยวิธีเสียงข้างมาก หรือเยยยสิกา-
อธิกรณสมถวิธี ปรากฏว่าชัยชนะตกเป็นของฝ่ายพระมหาเทวะ พระเจ้ากาฬาโศกจึงประกาศ
ให้สงฆ์ปฏิบัติตามคติของพระมหาเทวะสงฆ์ฝ่ายธรรมวาทีซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าจึงพากันจาริกไปสู่
แว่นแคว้นอื่น
4.1.3 การสังคายนาครั้งที่ 3
ตติยสังคายนา
ประธานสงฆ์
: ประมาณ พ.ศ.236
: พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ
ผู้เข้าร่วมประชุมสังคายนา : พระอรหันตขีณาสพจำนวน 1,000 รูป
องค์อุปถัมภ์
: พระเจ้าอโศกมหาราช
เหตุปรารภในการทำสังคายนา : เดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
สถานที่ประชุมทำสังคายนา : อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร
ระยะเวลาในการประชุม : กระทำอยู่ 9 เดือนจึงสำเร็จ
บันทึกเหตุการณ์สำคัญ :
การทำสังคายนาครั้งที่ 3 นี้ เกิดขึ้นโดยปรารภที่มีพวกเดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวชใน
พระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากพระพุทธศาสนารุ่งเรืองขึ้น มีลาภสักการะเกิดขึ้นมาก
จึงมีเดียรถีย์ที่มุ่งแสวงหาลาภสักการะปลอมมาบวช แต่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ทำให้สงฆ์
ที่ปฏิบัติชอบเกิดความรังเกียจแยกพระจริงพระปลอมไม่ออกพระสงฆ์จึงไม่ทำสังฆกรรมร่วม
พระพุทธศาสนาในอินเดีย หลังยุค พุ ท ธ ก า ล DOU 75