ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๕- มังคีลกัตถีนีแปล เล่ม ๕ หน้า๘๘
ท่านสกาวอาจารยะกล่าวว่า ก็เลยอธิบายใคร ๆ ไม่พึงกล่าวว่า "สิ้นแล้ว" หรือว่า "กำลังกิ้น" แต่อย่าว่า "จกิ้น" ท่านสกาวอาจารย์ พึงถามว่า ก็เมื่ออธิบายสั้นนั้นยังไม่สิ้นเลย โดดตรงภูญาณจะทำธรรมเป็นก็สิ้นกิเลสให้เป็นอารมณ์ได้ อย่างไร ?
เมื่อท่านปราวอาจารย์กล่าวอย่างนั้น ท่านสกาวอาจารย์จึงเป็นผู้ไม่มีคำตอบแน่แท้ ก็โดดตรงนั่น ควรประกอบแม่ด้วย มรรถบญาณ เพราะว่า แม้ในขณะแห่งมรรถบญาณ ก็ลอดทั้งหลายใคร ๆ จะกล่าวไม่ว่า "สิ้นแล้ว" ว่า "จกิ้น" และเมื่ออธิบายทั้งหลายยังไม่สิ้นนั่นแล ธรรมเป็นก็สิ้นกิเลส ามเป็นอารมณ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ควรรับรองคำนี้ว่า "ควรเป็นต้นมาจงธรรมชาติใด ย่อมสิ้นไป, ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า นิพพาน แห่งพฤหะนั่น ถ้าเป็น เพียงธรรมเป็นก็สิ้นกิเลสเท่านั้นไม่ เพราะความเป็นธรรมชาตินพระผู้พระภาคทรงสด กระจะว่า "ธรรมไม่มีรูป" ดังนี้ไว้ในหมวด ๒ มีว่า 'ธรรมมีรูป ธรรมไม่มีรูป' เป็นฉัน"
[๔๕๑] ผู้ก็ชื่นชมพุทธสูตรนั้นและก็อาจอธิบายได้ว่า "ในคำนี้ว่า นิพพาน อาคมุ มิมีฉ่อยว่า: บทว่า อาคมุ ความว่า เพราะการทำให้แจ้งด้วยมรรค แห่งพระอริยบุคคลเมื่อหน่ายอยู่ใน สังขารทั้งปวง ผู้อ่อนใจไปในวิสังขาร (นิพพาน) มิมีสันโดษ-ภูญาณให้จิษณแล้ว.
๑. เปิดแล้ว ก็ว่า.