ข้อความต้นฉบับในหน้า
“ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ
ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ความไม่รู้ในส่วนอดีต ความไม่รู้ในส่วนอนาคต ความไม่รู้ทั้งในส่วนอดีต
และส่วนอนาคต
ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้
จึงเกิดขึ้น
ความไม่รู้ ความไม่เห็น ความไม่ตรัสรู้ ความไม่รู้โดยสมควร ความไม่รู้
ตามเป็นจริง ความไม่แทงตลอด ความไม่ถือเอาโดยถูกต้อง
ความไม่หยั่งลงโดยรอบคอบ ความไม่พินิจ ความไม่พิจารณา
การไม่กระทำให้ประจักษ์ ความทรามปัญญา ความโง่เขลา ความไม่รู้ชัด
ความหลง ความลุ่มหลง ความหลงใหล
อวิชชา โอฆะ คือ อวิชชา โยคะคืออวิชชา อนุสัยคืออวิชชา ปริยุฏฐาน
คืออวิชชา ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูล คือ โมหะ มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด
เรียกว่า โมหะ”1
ลักษณะของโมหะ คือรู้อะไรไม่แจ่มแจ้ง แล้วหลงงมงายอยู่ในสิ่งนั้นๆ มีเรื่องอะไร
พอจะพิจารณาให้รู้จริง รู้เหตุ รู้ผล รู้ดีรู้ชั่วได้ แต่ไม่พิจารณาให้รู้จริงหรือพิจารณา แต่ไม่สามารถ
รู้ตามความเป็นจริง นี้เรียกว่าโมหะ คนถูกโมหะครอบงำ เรียกกันว่า คนเจ้าโมหะ หรือคนหลง
เป็นคนมืด มองไม่รู้อรรถ ไม่เห็นธรรม ย่อมทำผิดต่าง ๆ ได้ทุกอย่างตั้งแต่ผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ
ขึ้นไปจนถึงขั้นอนันตริยกรรม เหมือนอย่างที่คนเจ้าโลภและเจ้าโทสะกระทำ แต่เมื่อแยก
ประเภทความผิดที่คนหลงกระทำที่ส่อให้เห็นว่า ทำด้วยอำนาจความโง่เขลาเบาปัญญา เช่น
มัวเมา ลบหลู่คุณท่าน ตีตนเสมอท่าน หูเบา มัวเมาเผอเรอ เป็นต้น
กิเลสตระกูลโมหะนี้ แสดงตัวออกเป็นกิเลสชื่อต่าง ๆ กัน คือ
1. อวิชชา คือ ความไม่รู้พระสัทธรรม ไม่รู้เหตุผลของการเวียนว่ายตายเกิดเช่น ไม่รู้ว่า
ตัวเรามาจากไหน เกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน
2. โมหะ ความหลงผิด ความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
* อภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี, มก. เล่มที่ 76 ข้อ 691 หน้า 384-386.
บ ท ที่ 2 กิเลส
DOU 33