ข้อความต้นฉบับในหน้า
8. ดับตัณหาได้ อุปาทานจึงดับ
ดับตัณหา หมายถึง ดับความอยากต่างๆ คือ ความอยากในรูป ความอยากในเสียง
ความอยากในกลิ่น ความอยากในรส ความอยากในสัมผัสทางกาย และความอยากในสิ่งสัมผัส
9. ดับอุปาทานได้ ภพจึงดับ
ดับอุปาทาน หมายถึง ดับความยึดมั่นต่าง ๆ ได้แก่ ความยึดมั่นในรูป เสียง กลิ่น รส
สัมผัส ที่เป็นไปในทางกายและทางใจ หรือยึดมั่นในขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ว่าเป็นอัตตา
10. ดับภพได้ ชาติจึงดับ
ดับภพ หมายถึง ดับกรรมภพ คือ ดับการกระทำกรรม จึงดับชาติ คือ ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเกิดไม่ได้ คือ ไม่เกิด ชรามรณะย่อมไม่มี เมื่อสามารถดับชาติ
ได้อย่างนี้ก็ดับมรณะได้ รวมทั้งดับโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ ก็ดับลงได้ด้วย
เมื่อดับได้อย่างนี้ วงจรของปฏิจจสมุปบาทที่มีการสืบต่อมานานก็ขาดตอนลง วงจร
ของชีวิตไม่มีการสืบต่อ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก การเกิดในชาติปัจจุบันนี้ ถือว่าเป็นชาติ
สุดท้าย การดับวงจรของชีวิตหรือดับปฏิจจสมุปบาทได้ ถือว่าเป็นการบรรลุธรรมชั้นสูงใน
พระพุทธศาสนา กล่าวคือ ได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอรหันต์ จักไม่กลับมา
เวียนว่ายตายเกิดอีก
จากที่ได้นำเสนอวิธีดับวงจรชีวิตหรือวิธีดับปฏิจจสมุปบาท จะพบว่า เป็นการเริ่มต้นดับ
ที่อวิชชาก่อน เมื่ออวิชชาดับไปแล้ว วิชชา (ความรู้แจ้ง) ก็เกิดขึ้นแทน วิธีดับปฏิจจสมุปบาทหรือ
ปัจจยาการนี้ เป็นวิธีเดียวกันกับการดับตัณหาในอริยสัจ 4 เพราะเป็นปัจจัยเกิดสืบเนื่องมา
ตามลำดับ เมื่อสามารถดับอวิชชาได้ มีผลให้ดับตัณหาได้ด้วย
เมื่อกล่าวโดยสรุปคือ การทำลายพวกกิเลสวัฏ อันได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เมื่อ
กิเลสวัฏถูกทำลาย กรรมวัฏและวิปากวัฏ ก็ถูกทำลายไปโดยอัตโนมัติ เหมือนคนถอดหัวรถจักร
ออกแล้ว รถไฟทั้งขบวนก็เดินไม่ได้อีกฉะนั้น ดังนั้น ผู้บรรลุอรหัตเป็นพระอรหันต์จึงเกิดญาณขึ้น
รู้ด้วยตนเองว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่มิได้มีอีกต่อไป จึงได้ชื่อว่า ปุญญปาปปรีโน
มีบุญและบาปอันละได้แล้ว การกระทำของท่านหลังจากเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงไม่เรียกว่า
เป็นกรรม แต่เรียกว่า กิริยาจิตต์ คือ สักแต่ว่าเป็นกิริยา
220 DOU สมาธิ 8 วิ ปั ส ส น า กัมมัฏฐาน