ข้อความต้นฉบับในหน้า
11. ยัมปิจฉัง น ลภติทุกข์ คือ ความปรารถนาสิ่งใดแล้ว ไม่ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา
ความทุกข์นี้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ทุกข์ประกอบในกาย ได้แก่ การที่บุคคลซึ่งประกอบอาชีพ
ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกสิกรรม หรือ พาณิชยกรรม เมื่อทุ่มเทแรงกายแรงใจให้แก่การงานอาชีพ โดย
มิได้ย่อท้อต่อความลำบากตรากตรำ แต่ไม่สามารถสำเร็จประโยชน์ จึงเศร้าโศกเสียใจ
กับทุกข์ประกอบในจิต ได้แก่ ความปรารถนายศถาบรรดาศักดิ์ ตลอดจนลาภสักการะเงินทอง
แต่ไม่สามารถสำเร็จสมเจตนา
กล่าวโดยสรุป ทุกข์ได้ปรากฏแก่ตัวเรา เป็นความทุกข์รวบยอด ความทุกข์เหล่านี้
เมื่อกล่าวโดยสรุปอีกอย่างหนึ่งมีเพียง 2 คือ ทุกข์ทางกาย และความทุกข์ทางใจ ที่ทรงแจกแจง
ออกไปถึง 11 ประการ ก็เพื่อให้เห็นรายละเอียดแห่งทุกข์ที่มนุษย์ประสบอยู่ว่ามีประการใดบ้าง
อนึ่ง ความทุกข์เหล่านี้มีขึ้นได้ก็เพราะมีขันธ์ 5 และมนุษย์เรายังยึดมั่นในขันธ์ 5 นั้น
ว่าเป็นเรา เป็นของเราอยู่
ความจริงแล้วขันธ์ 5 นี้ เป็นภาระหนักของมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย เพียงรูปขันธ์
อย่างเดียวก็เป็นภาระอันหนักเพราะต้องถนอมปรนเปรอ เลี้ยงดูด้วยข้าว น้ำ วันละหลาย ๆ ครั้ง
จนตลอดชีวิต ยิ่งเวลาเจ็บป่วยก็จะเป็นภาระอันหนักยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงทรง
แสดงไว้ว่า
ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา
ภาร-นิกเขปน์ สุข
ขันธ์เป็นภาระอันหนักแท้
การปลงภาระอันนี้เสียได้เป็นความสุข
ส่วนนามขันธ์เป็นภาระอันหนักเพราะกิเลสมาทำให้หนัก เร่าร้อนอยู่เพราะกิเลสทำให้
ร้อน สมดังข้อความที่ทรงแสดงไว้ในอาทิตตปริยายสูตรว่า “ร้อนเพราะไฟ คือ ราคะบ้าง โทสะ
บ้าง โมหะบ้าง เพราะเกิด แก่ ตาย...บ้าง” ซึ่งรวมเป็นเพลิง 2 อย่าง คือ เพลิงกิเลสและเพลิง
ทุกข์'
ทุกข์จึงถือเป็นเรื่องแรกที่บุคคลผู้จะเจริญวิปัสสนาจะต้องเห็นและเข้าใจตามความเป็นจริง
โดยการเห็นนี้จะไม่ใช่เพียงการเห็นแบบทั่ว ๆ ไปด้วยการพิจารณาเช่นนี้ แต่ต้องอาศัย
ภาวนามยปัญญามองให้เห็นตัวทุกข์ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
อาทิตตปริยายสูตร วินัยปิฎก มหาวรรค, มก. เล่ม 4 ข้อ 62 หน้า 55.
บ ท ที่ 9 อ ริ ย สั จ 4
DOU 181