ข้อความต้นฉบับในหน้า
หมายความว่า สังขาร คือ บุญหรือบาปที่เราได้ทำไว้ จะเป็นชนกผู้ให้กำเนิดปฏิสนธิวิญญาณ
พระพุทธองค์ยังได้กล่าวว่า เมื่อเวลาใกล้จะตาย สังขาร คือ บุญหรือบาปที่เป็นชนกนั้นก็จะมา
ปรากฏเป็นอารมณ์ โดยเป็นกรรมนิมิตหรือคตินิมิต ปรากฏในมโนทวาร จุติจิต คือ จิตที่ทำหน้าที่
เคลื่อนจากภพก็จะเกิดขึ้น พอจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตจะถูกกรรมผลักดันให้เกิดขึ้นในภพใหม่ทันที
ที่กล่าวมานั้นเป็นสังขารทำให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ สำหรับสังขารเป็นปัจจัยให้เกิด
ปวัตติวิญญาณ คือ สังขารฝ่ายวิบากที่ดีเป็นปัจจัยให้เกิดการรับรู้ที่ดี คือเจตนาฝ่ายวิบากที่ดีทำให้
เกิดการรับรู้ผ่านทวารต่างๆ เป็นการรับรู้ที่ดีสังขารฝ่ายวิบากที่ชั่วเป็นปัจจัยให้เกิดการรับรู้ที่ไม่ดี
คือ เจตนาฝ่ายวิบากที่ชั่ว ทำให้เกิดการรับผ่านทวารต่าง ๆ ที่ไม่ดี
3. วิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป คือ ปฏิสนธิวิญญาณ เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตมนุษย์
ในภพใหม่ นั่นคือส่วนของรูป ซึ่งจะค่อยๆ มีการพัฒนาไปตามลำดับ จนกระทั่งเติบโตดังที่
พระพุทธองค์ตรัสว่า
“รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิด
เป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม (ปัญจสาขา) ต่อจากนั้น มีผมขนและเล็บ (เป็นต้น) เกิดขึ้น
มารดาของสัตว์ในครรภ์ บริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์มารดานั้น ก็ยัง
อัตภาพให้เป็นไปด้วยอาหารอย่างนั้นในครรภ์นั้น”
กลละนี้ คือ ส่วนที่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ในอรรถกถากล่าวว่า กลละมีประมาณเท่า
หยาดน้ำมันงาซึ่งตั้งอยู่ที่ปลายเส้นด้ายที่ทำด้วยเส้นขนสัตว์ 3 เส้น มีสีใสไม่ขุ่นมัว เหมือนหยาด
น้ำมันงา หรือเนยใส
เมื่อมนุษย์เจริญเติบโตขึ้นตามลำดับวัย ปวัตติวิญญาณสามารถทำหน้าที่ทางทวาร 6 ได้
อย่างเต็มที่ ช่วงนี้ทำให้เรามองเห็นความสัมพันธ์ของกรณีที่ว่า สังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ
วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป ได้อย่างชัดเจน สังขาร คือ เจตนาทางกาย วาจา ใจ วิญญาณ ได้แก่
วิญญาณ 6 นามได้แก่ เจตสิก รูป ได้แก่ร่างกายส่วนที่เป็นรูปพร้อมทั้งคุณลักษณะอาการของ
รูปทั้งหมด เมื่อมนุษย์ทำสิ่งใดลงไป วิญญาณทางทวาร 6 ทางใดทางหนึ่งก็เกิดขึ้น พร้อมกับ
องค์ประกอบของตน เช่นนี้ วิญญาณจึงเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค, มก. เล่มที่ 25 ข้อ 803 หน้า 384.
2
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค, มก. เล่มที่ 25 ข้อ หน้า 386.
บ ท ที่ 10 ป ฏิ จ จ ส มุ ป บ า ท
DOU 211