ข้อความต้นฉบับในหน้า เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเกี่ยวกับเอกภพ ก็ได้พยายามหาคำตอบเกี่ยวกับกำเนิด
เอกภพ โดยคิดทฤษฎีขึ้นมาหลายทฤษฎี ในอดีตมีทฤษฎีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ คือ ทฤษฎีที่
เห็นว่า จักรวาลคงที่และเป็นระบบที่ชัดเจน จนกระทั่งเมื่อมีการผลิตกล้อง Hubble ขึ้น ก็ได้เกิด
ทฤษฎีใหม่ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด คือ ทฤษฎี Big Bang หรือ การระเบิดครั้งใหญ่ โดยเขา
ส่องกล้องไปพบว่า ในจักรวาลหนึ่งจะเห็นดวงดาวหรือกาแล็กซีเริ่มเคลื่อนออกจากกัน เขาจึง
สันนิษฐานว่าการเกิดเอกภพขึ้นครั้งแรกนั้นเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่การระเบิดนั้นเริ่มระเบิด
ออกมาจากจุดศูนย์กลาง เมื่อระเบิดแล้วก็เกิดการกระจายตัวของฝุ่นละออง
ต่าง ๆ แล้วรวมตัวกันเป็นเกลียว เรียกว่า galaxy เป็นกาแล็กซีน้อยใหญ่
ขึ้นมา และเกิดตัวระบบใหญ่เรียกว่า Universe โดยมีจุดศูนย์กลางเรียกว่า
จุด singularity นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังได้สังเกตการหมุนของ
กาแล็กซี ทำให้ค้นพบสสารบางอย่างซึ่งทำให้ดวงดาวในกาแล็กซี่เคลื่อนที่
ได้อย่างช้าๆ ถ้าหากไม่มีแรงโน้มถ่วงจากสสารลึกลับนี้เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว
เหล่าดวงดาวในกาแล็กซี ก็จะเคลื่อนที่ได้เร็วกว่านี้ นักวิทยาศาสตร์จึงตั้ง
ชื่อสสารนี้ว่า สสารมืด (Dark Matter) มีการประมาณกันว่าสสารมืดเป็น
องค์ประกอบกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของมวลทั้งหมดในจักรวาล
นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาดูแนวโน้มของเอกภพในอนาคตจึงคิด
ทฤษฎีเกี่ยวกับลักษณะการขยายตัวของเอกภพ และสรุปทฤษฎีว่า เอกภพ
อาจจะขยายตัวต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สุด หรือจะขยายตัวแล้วก็จะคงที่หรือ
จะค่อยๆ หดตัวกลับมารวมกันและเกิดการชนกัน เป็นจุดจบของเอกภพ
ก็เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังค้นหากันต่อไป
แม้ว่าเราจะมีเครื่องมือที่ทันสมัย มีความละเอียดเพียงใด แต่เรา
ก็สามารถมองเห็นได้เพียงเอกภพขนาดใหญ่ ซึ่งไม่รู้ถึงต้นกำเนิด และจุดจบ
เพียงแต่อาศัยการสันนิษฐานเท่านั้น สิ่งที่สังเกตเห็นได้ในปัจจุบันนี้ยัง
ไม่ได้บ่งบอกถึงที่ตั้งและลักษณะของภพภูมิตามที่พระพุทธศาสนาได้
กล่าวถึงไว้เลย
รูปที่ 4-3 ภาพแสดงลำดับของโลกในจักรวาลและเอกภพ
D. Finley, D. Aguilar (November 2, 2005). Astronomers Get Closest Look Yet At Milky Way's Mysterious
Core. National Radio Astronomy Observatory. Retrieved on 2006-08-10.
บ ท ที่ 4 ภ พ ภู มิ
DOU 69