ข้อความต้นฉบับในหน้า
5. โผฏฐัพพธาตุ
เป็นรูปธรรม มีหน้าที่กระทบสัมผัสกาย องค์ธรรมได้แก่ ปฐวี เตโช วาโย อาโป หมายถึง
สภาวะของดิน ไฟ ลม สภาวะของดินได้แก่ แข็งกับอ่อน สภาวะของไฟได้แก่ ร้อนกับเย็น
สภาวะของลมได้แก่ หย่อนกับตึง เวลากระทบกายย่อมผลัดเปลี่ยนกันกระทบ สุดแต่ว่าอันไหนจะ
เด่นชัดขึ้นเป็นใหญ่อันนั้นก็กระทบแรง ให้เกิดความรู้สึกขึ้นเฉพาะอันนั้น เช่น ฤดูหนาว เย็น
กระทบ ฤดูร้อน ร้อนกระทบ ผันแปรไปตามอุตุนิยมซึ่งไม่มีอะไรมาห้ามปรามได้
มีสภาพแตกดับอยู่เสมอ ธาตุดินกระทบแล้ว ธาตุไฟก็กระทบ แล้วก็มีธาตุลมกระทบอีก
ทำให้กายวิญญาณ รู้สึกร้อน เย็น อ่อน แข็ง หย่อน ตึง แตกดับแปรปรวนเปลี่ยนแปลงกัน
ไม่ขาดระยะ ถ้าไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจสภาวะนั้น กิเลสก็จะเกิดขึ้นให้ยินดีใน
เครื่องสัมผัส เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ล้วนแต่ก่อให้เกิดทุกข์ภัยทั้งสิ้น
6. ธัมมธาตุ
มีหน้าที่กระทบใจให้มีความนึกคิดต่าง ๆ และทรงไว้ซึ่งสภาพของตนเป็นธาตุที่พิสูจน์ได้
องค์ธรรมได้แก่ สุขุมรูป 16 เจตสิก 52 นิพพาน 1
สิ้นเชิง
นิพพานนั้น หมายถึง ลักษณะว่าเป็นสันติ คือ กิเลสสงบโดยสิ้นเชิงและดับทุกข์โดย
ธัมมธาตุเป็นทั้งรูปทั้งนาม โดยสงเคราะห์ดังนี้
สุขุมรูป 16 เป็นรูปธรรม
เจตสิก 52 เป็นนามธรรม
นิพพาน 1 เป็นนามวิมุตติ ( ดับขันธ์)
ธัมมธาตุนี้ถ้าไม่กำหนดพิจารณาให้เห็นตามที่มีอยู่แล้ว ก็จะทำให้กิเลสกำเริบ เพราะมี
อวิชชา ไม่รู้สภาวะของรูปและเจตสิกที่เกิดดับ และไม่รู้นิพพานที่พ้นจากการเกิดดับ
7.4.2 ธาตุรับ 6 ธาตุ
1. จักขุธาตุ
ได้แก่
เป็นธาตุแท้อันที่ 1 ที่มีหน้าที่รับสี องค์ธรรมได้แก่ จักขุปสาท คือ ประสาทตามีสัณฐานใส
ขนาดเท่าศีรษะเล็น ตั้งอยู่ใจกลางตาสามารถรับสีต่าง ๆ ได้ เมื่อแสงสว่างสะท้อนจากสีส่งมา
กระทบทำให้สำเร็จการเห็นได้
บ ท ที่ 7 ธ า ตุ 18
DOU 139